ร่อมาฎอนนี้ท่านกำลังละหมาดต้ารอเวี๊ยะหรือละหมาดมุตลอฆ์(สุนัตทั่วไป)
******โดยกองทุนตียารีญะฮ์ กลุ่มครูฟัรฎูอีน ******
ทำความเข้าใจจำนวนละหมาดต้ารอเวี๊ยะกันเถิด
จำนวนละหมาดต้ารอเวี๊ยะนั้น มี 20 รอกอัต จากฮาดิษของท่านนบี (ซ.ล.) “แท้จริงนบี (ซ.ล.) ได้ออกจากบ้านในช่วงหนึ่งของกลางคืนจากเดือนร่อมาฎอน คือคืนที่ 3 คืนที่ 5 และคืนที่ 27 ท่านได้ละหมาดที่มัสยิดและประชาชนได้ละหมาดพร้อมท่าน ปรากฏว่าท่านทำละหมาดพร้อมกับพวกเขา 8 ร่อกาอัต แล้วประชาชนได้กลับไปทำอย่างสมบูรณ์ที่บ้านของพวกเขาในส่วนที่เหลืออีก (คือ 12 ร่อกาอัต และวิเตรอีก 3 ร่อกาอัต) ซึ่งปรากฏว่าเสียงดังกระหึ่มไปทั่วเสมือนกับเสียงของผึ้ง” รายงานโดยบุคอรี มุสลิม จากเหตุการณ์ตรงนี้บรรดาซอฮาบะฮ์จึงถือว่าการละหมาดต้ารอเวี๊ยะจึงเป็นแบบฉบับของท่านนบี แต่ไม่ได้มีการละหมาดจำนวน 20 ร่อกาอัตอย่างเปิดเผยเสมือนสมัยของท่านอุมัร และบุคคลหลังจากท่านอุมัรจนถึงปัจจุบัน และท่านนบีไม่ออกไปละหมาดพร้อมพวกเขาหลังจากวันดังกล่าว เพราะท่านนบี (ซ.ล.)กลัวเกิดความลำบากบนพวกเขา เสมือนท่านกล่าวว่า
“ خَشِيْتُ أَنْ تُفْرَضَ عَلَيْكُمْ فَتَعْجِزُوْاعَنْهَا ความว่า ข้าพเจ้ากลัวจะเกิดความลำบากบนพวกท่าน ดังนั้นพวกท่านจะอ่อนแอจากมัน” (ดูรายละเอียดเพิ่มเติมในกิตาบฟิกฮุลอัรบาอะห์ เล่มที่ 1 หน้า ที่ 341)
และอีกฮาดิษหนึ่งรายงานจากท่านหญิงอาอิชะห์กล่าวว่า
ِلأَنَّ النَّبِىَّ (ص) صَلَّى لَيَالِىَ فَصَلَّوْهَا مَعَهُ ثُمَّ تَأَخَّرَ وَصَلَّى فِىْ بَيْتِهِ بَاقِىَ الشُّهُوْرِ
ความว่า “แท้จริงท่านนบี(ซ.ล.) ได้ละหมาดในบรรดาคืนต่างๆของร่อมาฎอน แล้วประชาชนก็ได้ละหมาดพร้อมกับท่านนบี(ซ.ล.) หลังจากนั้นท่านก็ได้ประวิงไว้ และท่านก็ได้กลับไปละหมาด(จนสมบูรณ์)ที่บ้านของท่านและบรรดาคืนที่เหลือของเดือน” รายงานโดยบุคอรี มุสลิม อิหม่ำมาลิก อะบูดาวูด นาซาอี บัยฮากี อิบนุคุซัยมะห์ (ดูรายละเอียดเพิ่มเติมในกิตาบมัจมัวะของท่านอิหม่ำนาวาวี หน้าที่ 37 เล่มที่ 4)
สรุปว่าการละหมาดต้ารอเวี๊ยะนั้นมี 20 ร่อกาอัต ไม่ใช่จำนวน 8 ร่อกาอัต ดังนั้นการละหมาด 8 ร่อกาอัตจึงถือว่าไม่ใช่ละหมาดต้ารอเวี๊ยะ มันคือละหมาดสุนัตธรรมดาทั่วๆไปซึ่งสามารถละหมาดได้ทั้งปี ไม่ใช่เฉพาะเดือนร่อมาฎอนเท่านั้น (ดูรายละเอียดได้ในกิตาบบาห์รุลบารี)
เป็นไปได้อย่างไรว่าละหมาดต้ารอเวี๊ยะคือ 20 ร่อกาอัต ไม่ใช่ 8 ร่อกาอัต
จากหลักฐานข้างต้นสรุปว่าท่านนบีและซอฮาบะห์ต่างกลับไปทำจนสมบูรณ์ที่บ้านของตนเอง
ผู้อธิบายอย่างชัดเจนคือท่านอุมัร บินคอตตอบ ท่านได้ละหมาด 20 ร่อกาอัตพร้อมด้วยประชาชนทั้งหลายในมัสยิด ปรากฏว่ามีบรรดาซอฮาบะห์ต่างๆ เช่นท่าน อุษมาน อาลี ร่วมอยู่ด้วย ไม่มีท่านใดโต้แย้งในจำนวนร่อกาอัตดังกล่าว
(แล้วท่านคือใคร ที่ไปฮุกมว่าละหมาดต้ารอเวี๊ยะทำ 8 ร่อกาอัตก็ได้)
ละหมาดต้ารอเวี๊ยะ มีมากกว่า 20 ร่อกาอัตทำได้หรือไม่
ชาวมะดีนะห์ในอดีตได้ทำถึง 36 ร่อกาอัต เพื่อให้ได้ผลบุญเท่ากับชาวมักกะฮ์ ซึ่งชาวมักกะฮ์จะตอวาฟบัยตุลลอฮ์ 1 รอบ ขณะที่ละหมาดต้ารอเวี๊ยะได้ 4 ร่อกาอัต เพื่อให้ได้ผลบุญมากยิ่งขึ้นชาวมะดีนะห์จึงเพิ่มอีก 4 ร่อกาอัตในทุกๆครั้งที่มีการตอวาฟ รวมทั้งหมด 4 ครั้งของการเพิ่ม เท่ากับ 16 ร่อกาอัต แต่ไม่อนุญาตให้บุคคลอื่นจากชาวมะดีนะห์ปฏิบัติ 36 ร่อกาอัต เพราะชาวมะดีนะห์ได้รับเกียรติในการอพยพและฝังร่างของท่านนบี (ซ.ล.)
(ดูรายละเอียดจากกิตาบมัจมัวะ อิอานะตุดตอลิบีนเพิ่มเติมได้)
*อย่าให้ผลบุญละหมาดต้ารอเวี๊ยะของท่านขาดหายในช่วงความประเสริฐของร่อมาฎอน*
ด้วยความห่วงใย คณะกรรมการกองทุนติญารียะห์ กลุ่มครูฟัรฎูอีน
นาบีละหมาดตาราแวะห์ 20 ร่อกาอัต
عَنِ ابْنِ عَبَّاسٍ رَضِىَ اللهُ عَنْهُمَا قَالَ : كَانَ رَسُوْلُ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ يُصَلِّىْ فِىْ رَمَضَانَ عِشْرِيْنَ رَكْعَةً
رواه ابن أبى شيبة وعبد بن حميد والبيهقى
จากอิบนุอับบาส (ร.ด.) ได้กล่าวว่า ปรากฏว่าท่านรอซูลุลเลาะฮ์ (ซ.ล.)ละหมาดในเดือนรอมาฎอน 20 รอกาอัต
รายงานโดยอิบนุอบีชัยบะฮ์ อับดุบินหุมัยด์ และบัยฮะกีย์
ผู้สืบทอดหะดีษ
อับดุลลอฮ์ บินอับบาส,
มิกซัม
อัลหะกัม
อิบรอฮีม บินอุสมาน
ยะซีด บินฮารูน
อิบนุอบีชัยบะฮ์
(จากหนังสือของอิบนุอบีชัยบะฮ์ ฮาดิษที่ 7691 และอัลบัยฮะกีย์ ฮาดีษที่ 4615)
ฟัตวาสี่มัสฮับ
ฮานาฟี ชาฟิอี ฮัมบาลี 20 รอกาอัต
มาลิกี 36 รอกาอัต
ชี้แจงข้อเขียนของกองทุนติญารียะห์ กลุ่มครูฟัรฺฎูอีน,
โดย อ.ปราโมทย์ ศรีอุทัย
بسم الله الرحمن الرحيم
الحمدلله رب العالمين، والصلاة والسلام على أشرف الأنبياء والمرسلين، سيدنا محمد وعلى آله وصحبه أجمعين أما بعد ...
ข้างต้นนั้นคือข้อเขียนในเอกสารของกองทุนติญารียะฮ์อันเป็นกลุ่มครูฟัรฺฎูอีนเกี่ยวกับเรื่อง “จำนวนร็อกอะฮ์” ของนมาซตะรอเวี๊ยะห์ ซึ่งเอกสารดังกล่าวมีจำนวน 2 หน้ากระดาษ แต่ผมนำมาเรียงพิมพ์ใหม่ชนิดคำต่อคำเพื่อความชัดเจน เป็น 3 หน้ากระดาษ ...
นมาซตะรอเวี๊ยะห์ หมายถึงการนมาซในยามค่ำคืนของเดือนรอมะฎอน หลังจากนมาซอิชาอฺเสร็จแล้ว จนถึงเวลานมาซซุบห์ ...
ตามปกติการนมาซตะรอเวี๊ยะห์ในประเทศไทยหรือประเทศมุสลิมอื่นๆทั่วโลกจะมีการปฏิบัติกัน 2 ลักษณะคือ 11 ร็อกอะฮ์ กับ 23 ร็อกอะฮ์ ...
ขอเรียนทำความเข้าใจกันก่อนว่า ผมไม่ติดใจในความเชื่อ, และการปฏิบัตินมาซตะรอเวี๊ยะห์ของพวกท่าน – ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มครูฟัรฺฎูอีนหรือผู้ใดก็ตาม -- ว่าพวกท่านจะมีความเชื่ออย่างไร หรือมีการปฏิบัตินมาซตะรอเวี๊ยะห์กันกี่ร็อกอะฮ์ เพราะพวกท่านมีสิทธิที่จะปฏิบัติตามความเชื่อของพวกท่านๆได้ และใครๆก็ไม่มีสิทธิไปห้ามปรามหรือขัดขวางพวกท่านจากการปฏิบัติเหล่านั้นได้ หากพวกท่านเห็นว่า มันถูกต้อง ...
แต่สิ่งที่ผมจะเขียนชี้แจง ณ ที่นี้ก็คือ ความเข้าใจผิดของพวกท่านเกี่ยวกับความหมายของนมาซตะรอเวี๊ยะห์, นมาซสุนัตมุฏลัก, และข้อเท็จจริงของหลักฐานจากหะดีษและจากตำราบางเล่มที่พวกท่านนำมาเสนอในเอกสารดังกล่าวนั้น ...
ก่อนอื่น ขอเรียนให้ผู้อ่านทุกท่านโปรดเข้าใจด้วยว่า คำว่า “นมาซตะรอเวี๊ยะห์” ซึ่งพวกเราใช้เรียกการนมาซยามค่ำคืนของเดือนรอมะฎอนในปัจจุบันนี้นั้น เป็นคำศัพท์ที่นักวิชาการยุคหลังได้กำหนดหรือบัญญัติขึ้นมา เพื่อใช้เรียกการนมาซดังกล่าวให้สอดคล้องกับการปฏิบัติที่นิยมกระทำกันในยุคหนึ่งที่นครมักกะฮ์ ...
เพราะในทุกๆ 4 ร็อกอะฮ์ของการนมาซนี้จะมีการ “หยุดพัก” กัน 1 ครั้ง เพื่อไปฏอว้าฟบัยตุ้ลลอฮ์ ...
การหยุดพักนี้ ชาวอาหรับจะเรียกว่า “ตัรฺวีหะฮ์” ซึ่งมีพหูหจน์เป็นคำว่า “ตะรอเวี๊ยะห์” ดังที่พวกเราและมุสลิมทั่วโลกใช้เรียกนมาซนี้กันอยู่ ...
แต่ในสมัยของท่านศาสดามุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม, สมัยของเศาะหาบะฮ์, สมัยของตาบิอีน เป็นต้น จะเรียกการนมาซนี้ว่า กิยามุรอมะฎอน หรือกิยามุ้ลลัยล์ หรือศ่อลาตุ้ลลัยล์ .. อย่างใดอย่างหนึ่ง ดังมีปรากฏในหะดีษหลายบทที่กล่าวถึงการนมาซนี้ ...
ตัวอย่างเช่น ...
1. คำว่า “กิยามุรอมะฎอน” .. ท่านศาสดา ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัมกล่าวว่า
مَنْ قَامَ رَمَضَانَ إِيْمَانًا وَاحْتِسَابًا غُفِرَلَهُ مَا تَقَدَّمَ مِنْ ذَنْبِهِ
“ผู้ใดยืน(นมาซยามค่ำคืน)ในเดือนรอมะฎอน ด้วยความศรัทธาและแสวงหาผลบุญจากอัลลอฮ์ เขาก็จะถูกอภัยโทษให้ในบาป(เล็ก)ของเขาที่ผ่านมาแล้ว”
(บันทึกโดย ท่านบุคอรีย์, ท่านมุสลิมและท่านอื่นๆ โดยรายงานมาจากท่านอบูฮุร็อยเราะฮ์ ร.ฎ.) ...
คำว่า قَامَ رَمَضَانَ กับคำว่า قِيَامُ رَمَضَانَ มีที่มาจากรากศัพท์เดียวกันและมีความหมายอย่างเดียวกัน .. คือ การยืนนมาซยามค่ำคืนในเดือนรอมะฎอน ...
2. คำว่า “กิยามุ้ลลัยล์” .. (แปลว่า ยืนนมาซยามค่ำคืน) มีบันทึกในหะดีษหลายบทด้วยกัน ตัวอย่างเช่นหะดีษบทหนึ่งจากท่านหญิงอาอิชะฮ์ ร.ฎ.ที่กล่าวว่า ...
لاَ تَدَعْ قِيَامَ اللَّيْلِ! فَإِنَّ رَسُوْلَ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ لاَ يَدَعُهُ .....
“ท่านอย่าละทิ้งการยืน(นมาซ)ในยามค่ำคืนเป็นอันขาด เพราะท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัมไม่เคยละทิ้งมัน ......”
(บันทึกโดยท่านอิหม่ามอะห์มัด เล่มที่ 6 หน้า 249) ...
3. คำว่า “ศ่อลาตุ้ลลัยล์” .. (แปลว่า นมาซยามค่ำคืนเช่นเดียวกัน) .. ท่านศาสดา ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า ...
صَلاَةُ اللَّيْلِ مَثْنىَ مَثْنىَ
“การนมาซยามค่ำคืนนั้น ให้ทำทีละสองร็อกอะฮ์, ทีละสองร็อกอะฮ์” ...
(บันทึกโดยท่านบุคอรีย์, ท่านมุสลิม, ท่านอิหม่ามมาลิก, ท่านอบูอะวานะฮ์ โดยรายงานจากท่านอิบนุอุมัรฺ ร.ฎ.) ...
สรุปแล้ว คำว่า “นมาซตะรอเวี๊ยะห์” ดังที่รู้จักกันแพร่หลายในปัจจุบัน จึงไม่เป็นที่รู้จักหรือเรียกกันในยุคของท่านศาสดา, ยุคของเศาะหาบะฮ์หรือยุคของตาบิอีนแต่อย่างใด ...
ผมไม่เคยเจอหลักฐานใดที่รายงานว่า คำว่า “นมาซตะรอเวี๊ยะห์” นี้เกิดขึ้นมาในสมัยใด และนักวิชาการท่านใดเป็นผู้บัญญัติคำศัพท์นี้ขึ้นมาเพื่อใช้เรียกการนมาซยามค่ำคืนของเดือนรอมะฎอนแทนการเรียกว่า กิยามุรอมะฎอน หรือศ่อลาตุ้ลลัยล์ ดังในสมัยของท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม .. แต่เท่าที่ทราบก็คือในสมัยของท่านบุคอรีย์ (มีชีวิตระหว่างปี ฮ.ศ. 194-256) คำๆนี้ก็เป็นที่รู้จักกันแล้ว .. ดังจะเห็นได้จากการที่ท่าน บุคอรีย์ได้ตั้งชื่อเรื่องในหนังสือหะดีษ “อัศ-เศาะเหี๊ยะฮ์” ของท่านบทหนึ่งด้วยคำว่า ..
كِتَابُ صَلاَةِ التَّرَاوِيْحِ : (กิตาบ ศ่อลาติต-ตะรอเวี๊ยะห์) ...
หะดีษเศาะเหี๊ยะห์เกี่ยวกับการนมาซในเดือนรอมะฎอนหรือนมาซตะรอเวี๊ยะห์
ท่านอบูสะละมะฮ์ บินอับดุรฺเราะห์มาน ได้กล่าวถามท่านหญิงอาอิชะฮ์ รฺ.ฎ.ว่า ...
كَيْفَ كَانَتْ صَلاَةُ رَسُوْلِ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ فِىْ رَمَضَانَ؟
“ท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม ได้นมาซอย่างไรในเดือนรอมะฎอน?” ..
ซึ่งท่านหญิงอาอิชะฮ์ ร.ฎ. ก็กล่าวตอบว่า ...
مَا كَانَ رَسُوْلُ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ يَزِيْدُ فِىْ رَمَضَانَ وَلاَ فِىْ غَيْرِهِ عَلَى إِحْدَى عَشْرَةَ رَكْعَةً .........
“ท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม ไม่เคยนมาซ – ไม่ว่าในเดือนรอมะฎอนหรือมิใช่เดือนรอมะฎอน – เกินกว่า 11 ร็อกอะฮ์ .......................”
(บันทึกโดยท่านบุคอรีย์, ท่านมุสลิม, ท่านอิหม่ามมาลิก, ท่านอบูดาวูด, ท่านอัน-นะซาอีย์, ท่านอะห์มัด, ท่านอัต-ติรฺมีซีย์, ท่านอัล-บัยฮะกีย์, และท่านอบู อะวานะฮ์)
หะดีษบทนี้เป็นหะดีษเศาะเหี๊ยะฮ์โดยปราศจากข้อโต้แย้ง ...
จากคำถามและคำตอบข้างต้นระหว่างท่านอบูสะละมะฮ์และท่านหญิงอาอิชะฮ์ ร.ฎ. มีข้อที่น่าสังเกตอยู่ 3 ประการคือ ...
1. ท่านอบูสะละมะฮ์ได้ถามท่านหญิงอาอิชะฮ์ ร.ฎ. ถึงเรื่องการนมาซของท่านรอซุ้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัมในเดือนรอมะฎอนโดยเฉพาะ ซึ่งตามรูปการณ์แล้วก็คือ เป็นการถามเรื่องนมาซที่เราเรียกกันในปัจจุบันว่า นมาซตะรอเวี๊ยะห์ นั่นเอง ...
แล้วท่านหญิงอาอิชะฮ์ ร.ฎ. ก็ตอบว่า ท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม ไม่เคยนมาซเกิน 11 ร็อกอะฮ์ ...
ท่านอิบนุหะญัรฺ อัล-อัสเกาะลานีย์ได้กล่าวในหนังสือ “ฟัตหุ้ลบารีย์” อันเป็นหนังสืออธิบายหะดีษบุคอรีย์ เล่มที่ 4 หน้า 254 ว่า ...
وَأَمَّامَارَوَاهُ ابْنُ أَبِىْ شَيْبَةَ مِنْ حَدِيْثِ ابْنِ عَبَّاسٍ ((كَانَ رَسُوْلُ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ يُصَلِّىْ فِىْ رَمَضَانَ عِشْرِيْنَ رَكْعَةً وَالْوِتْرَ)) فَإِسْنَادُهُ ضَعِيْفٌ! وَقَدْ عَارَضَهُ حَدِيْثُ عَائِشَةَ هَذَا الَّذِىْ فِى الصَّحِيْحَيْنِ مَعَ كَوْنِهَا أَعْلَمَ بِحَالِ النَّبِىِّ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ لَيْلاً مِنْ غَيْرِهَا وَاللهُ أَعْلَمُ
“อนึ่ง สิ่งที่ท่านอิบนุอบีย์ชัยบะฮ์ได้รายงานมาจากหะดีษของท่านอิบนุอับบาส ร.ฎ. ว่า ท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัมได้นมาซในเดือนรอมะฎอน 20 ร็อกอะฮ์และนมาซวิตรี่นั้น สายรายงานของหะดีษนี้ เฎาะอีฟ! .. และแน่นอน มันยังขัดแย้งกับหะดีษของท่านหญิงอาอิชะฮ์ ร.ฎ.บทนี้จากการบันทึกที่ถูกต้องทั้งสอง (คือท่านบุคอรีย์และท่านมุสลิม) ซึ่งข้อเท็จจริงก็คือ ท่านหญิงอาอิชะฮ์ย่อมรู้ดีกว่าผู้อื่นถึงสภาพ(หมายถึงการนมาซและเรื่องอื่นๆ)ของท่านนบีย์ในยามค่ำคืน วัลลอฮุ อะอฺลัม” ...
(หะดีษของท่านอิบนุอับบาส ร.ฎ. จากการบันทึกของท่านอิบนุอบีย์ชัยบะฮ์ ดังที่ท่านอิบนุหะญัรฺ อัล-อัสเกาะลานีย์อ้างถึงนั้น ผมจะนำรายละเอียดมาวิเคราะห์อีกครั้งในตอนหลัง อินชาอัลลอฮ์) ...
2. นมาซที่ท่านนบีย์ปฏิบัติไม่เกิน 11 ร็อกอะฮ์ดังคำตอบของท่านหญิงอาอิชะฮ์ ร.ฎ. มิได้หมายถึงนมาซสุนัตมุฏลัก .. ดังความเข้าใจของกลุ่มครูฟัรฺฎูอีน ...
ทั้งนี้เพราะไม่เคยปรากฏว่าจะมีนักวิชาการหะดีษท่านใด ไม่ว่าท่านบุคอรีย์, ท่านมุสลิม, ท่านอบูดาวูด, ท่านอัน-นะซาอีย์, ท่านอัต-ติรฺมีซีย์, ท่านอัล-บัยฮะกีย์ เป็นต้น จะนำเอาหะดีษบทนี้ไปบันทึกไว้ในเรื่อง “นมาซสุนัตมุฏลัก” แม้แต่ท่านเดียว ...
ตรงกันข้ามพวกท่านได้นำเอาหะดีษเรื่องการนมาซ 11 ร็อกอะฮ์นี้ไปบันทึกไว้ในเรื่องนมาซตะรอเวี๊ยะห์บ้าง นมาซตะฮัจญุดบ้าง, กิยามุรอมะฎอนบ้าง, ศ่อลาตุ้ลลัยล์บ้าง, นมาซวิตรี่บ้าง .. ดังจะถึงต่อไป ...
เพราะฉะนั้น นมาซจำนวน 11 ร็อกอะฮ์ ดังที่ท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัมกระทำดังข้อความของหะดีษที่ถูกต้องข้างต้น แล้วมุสลิมจำนวนมากทั่วโลกก็รับมาปฏิบัติตาม จึงไม่ใช่นมาซสุนัตมุฏลักแน่นอน ...
และ .. สมมุติว่า ถ้าหะดีษข้างต้นของท่านนบีย์ เป็นนมาซสุนัตมุฏลักดังที่พวกท่านเข้าใจ ผมก็อยากจะถามว่า ...
ก. มีนักวิชาการท่านใดบ้างไหมที่อ้างหะดีษบทนี้เป็นหลักฐานเรื่องนมาซสุนัตมุฏลักดังข้ออ้างของพวกท่าน? ..
ข. หรือมีนักวิชาการท่านใดบ้างไหมที่อธิบายว่าให้พวกท่านทำนมาซสุนัตมุฏลักทีละ 4 ร็อกอะฮ์, 4 ร็อกอะฮ์ แล้วก็ 3 ร็อกอะฮ์ .. ดังคำอธิบายของท่านหญิงอาอิชะฮ์ในตอนหลังของหะดีษบทนี้ ??? ...
3. คำตอบของท่านหญิงอาอิชะฮ์ ร.ฎ. ที่ว่า .. ไม่ว่าจะเป็นเดือนรอมะฎอนหรือมิใช่รอมะฎอน ท่านนบีย์ไม่เคยนมาซเกิน 11 ร็อกอะฮ์ ...
คำตอบนี้มีความหมายชัดเจนว่า นมาซยามค่ำคืน ไม่ว่าจะกระทำในเดือนรอมะฎอน(ที่เราเรียกกันในปัจจุบันว่านมาซตะรอเวี๊ยะห์) หรือในเดือนอื่นๆ (ที่เราเรียกกันว่า กิยามุ้ลลัยล์บ้าง, ศ่อลาตุ้ลลัยล์บ้าง, นมาซตะฮัจญุดบ้าง ฯลฯ) คือนมาซเดียวกัน! และตามปกติท่านนบีย์จะกระทำไม่เกิน 11 ร็อกอะฮ์ ...
หมายเหตุ
ที่ผมใช้คำว่า “ตามปกติ” เพราะมีหะดีษที่ถูกต้องรายงานมาเช่นเดียวกันว่า บางครั้งท่านนบีย์จะทำ 13 ร็อกอะฮ์, บางครั้งจะทำ 9 ร็อกอะฮ์ และบางครั้งจะทำเพียง 7 ร็อกอะฮ์ ซึ่งผมจะไม่ชี้แจงรายละเอียดหรือหลักฐาน ณ ที่นี้ ...
นมาซของท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัมดังรายงานข้างต้นคือนมาซอะไร ? ...
ท่านบุคอรีย์ได้นำเอาหะดีษบทข้างต้นนี้มาบันทึกไว้ในหนังสือหะดีษ “อัศ-เศาะเหี๊ยะห์” ของท่าน 3 ตำแหน่งคือ ...
1. ในกิตาบ “อัต-ตะฮัจญุด” หะดีษที่ 1147, บาบว่าด้วยเรื่อง “การนมาซของท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม ยามค่ำคืนในเดือนรอมะฎอนและเดือนอื่นๆ” ..
2. ในกิตาบ “ศ่อลาตุ้ตตะรอเวี๊ยะห์” หะดีษที่ 2013, บาบว่าด้วยเรื่อง “ความประเสริฐของการนมาซยามค่ำคืนในเดือนรอมะฎอน ...
3. ในกิตาบ “อัล-มะนากิบ” หะดีษที่ 3569, บาบว่าด้วยเรื่อง “ตาของท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัมหลับ แต่ใจของท่านไม่หลับ” ...
-- ท่านมุสลิมได้บันทึกหะดีษบทข้างต้นนี้ในหนังสือหะดีษ “อัศ-เศาะเหี๊ยะห์” ของท่านเล่มที่ 1 หน้า 509, หรือหะดีษที่ 125/738, บาบว่าด้วยเรื่อง “ศ่อลาตุ้ลลัยล์ และจำนวนร็อกอะฮ์ของการนมาซยามค่ำคืน” ...
-- ท่านอบูดาวูดได้บันทึกหะดีษนี้ในหนังสือ “อัส-สุนัน” ของท่าน หะดีษที่ 1341 ในบาบเรื่อง “ศ่อลาตุ้ลลัยล์” เช่นเดียวกัน ...
-- ท่านอัต-ติรฺมีซีย์ได้บันทึกหะดีษบทนี้ใหนังสือ “อัส-สุนัน” ของท่าน หะดีษที่ 439 ในบาบว่าด้วยเรื่อง “ลักษณะการนมาซของท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมยามค่ำคืน” ...
-- ท่านอัน-นะซาอีย์ได้บันทึกหะดีษนี้ในหนังสือ “อัส-สุนัน” ของท่าน หะดีษที่ 1696 บาบว่าด้วยเรื่อง “كَيْفَ الْوِتْرِ ثَلاَثٌ” คือ ทำนมาซวิตรี่ 3 ร็อกอะฮ์อย่างไร ? ...
-- ท่านอิหม่ามมาลิก ได้บันทึกหะดีษนี้ในหนังสือ “อัล-มุวัฏเฏาะอ์” ของท่าน เล่มที่ 1 หน้า 107, บาบว่าด้วยเรื่อง “การนมาซวิตรี่ของท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม”...
ท่านอัล-บัยฮะกีย์ ได้บันทึกหะดีษนี้ในหนังสือ “อัส-สุนัน อัล-กุบรออ์” ของท่าน เล่มที่ 2 หน้า 495 ในบาบว่าด้วยเรื่อง “สิ่งที่ถูกรายงานมาเกี่ยวกับจำนวนร็อกอะฮ์ของนมาซยามค่ำคืนเดือนรอมะฎอน (คือนมาซตะรอเวี๊ยะห์) ...
-- ท่านมุหัมมัด อิบนุนัศร์ อัล-มัรฺรูซีย์ (สิ้นชีวิตปี ฮ.ศ. 294) ได้เขียนหนังสือชี้แจงหลักฐานเกี่ยวกับการนมาซเหล่านี้รวม 3 เล่ม .. คือหนังสือกิยามุรอมะฎอน , หนังสือกิยามุ้ลลัยล์, และหนังสือศ่อลาตุ้ตตะรอเวี๊ยะห์ ...
เป็นที่น่าสังเกตว่า “หลักฐาน” ของนมาซทั้ง 3 ชนิดข้างต้นที่ท่านอิบนุนัศร์นำมาบันทึกไว้ในหนังสือทั้ง 3 เล่มนั้น เป็น “หลักฐานเดียวกัน” เกือบทั้งสิ้น ...
การที่บรรดานักวิชาการหะดีษซึ่งได้กล่าวนามมาข้างต้น ได้นำเอาหะดีษเรื่องการนมาซ 11 ร็อกอะฮ์ของท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม “บทเดียว” กันนี้มาระบุไว้ในเรื่องนมาซตะฮัจญุดบ้าง, นมาซตะรอเวี๊ยะห์บ้าง, นมาซยามค่ำคืนหรือศ่อลาตุ้ลลัยล์บ้าง, นมาซวิตรี่บ้าง, จำนวนร็อกอะฮ์ของนมาซยามค่ำคืนในเดือนรอมะฎอนบ้าง .. เหล่านี้ ย่อมบ่งบอกความหมายชัดเจนว่าไม่ว่าเราจะเรียกนมาซยามค่ำคืนนี้ว่า นมาซตะรอเวี๊ยะห์, หรือกิยามุรอมะฎอน, หรือกิยามุ้ลลัยล์, หรือศ่อลาตุ้ลลัยล์, หรือนมาซวิตรี่ (หรือแม้แต่นมาซตะฮัจญุด) ...
แต่ตามข้อเท็จจริงแล้ว นมาซที่มีชื่อหลากหลายดังข้างต้นนี้ ก็คือนมาซเดียวกัน ดังกล่าวมาแล้ว ...
หากมีคำถามว่า ถ้าเป็นนมาซเดียวกันจริง ทำไม่จึงต้องมีชื่อเรียกแตกต่างกันเป็นหลายชื่ออย่างนั้น ? ...
คำตอบก็คือ เพราะเราพิจารณานมาซชนิดนี้ในหลายแง่มุมหรือหลายมุมมอง .. ไม่ว่าในลักษณะการกระทำ, ในเวลาหรือเดือนที่กระทำ, ในจำนวนร็อกอะฮ์ที่กระทำ, หรือแม้แต่ในรูปแบบส่วนตัวของผู้กระทำ ...
สาเหตุที่เราเรียกนมาซนี้ว่า นมาซตะรอเวี๊ยะห์ เพราะชาวมักกะฮ์ยุคก่อนจะมีการตะรอเวี๊ยะห์ .. คือหยุดพัก (เพื่อฏอว้าฟ) ในทุกๆ 4 ร็อกอะฮ์ ...
สาเหตุที่เราเรียกนมาซนี้ว่า กิยามุรอมะฎอน เพราะเราทำมันใน(ยามค่ำคืนของ) เดือนรอมะฎอน ...
สาเหตุที่เราเรืยกนมาซนี้ว่า กิยามุ้ลลัยล์หรือศ่อลาตุ้ลลัยล์ เพราะเราปฏิบัติมันในตอนกลางคืน (กิยามหรือศ่อลาฮ์ แปลว่าการยืนนมาซ, ส่วนอัล-ลัยล์ แปลว่ากลางคืน) ...
สาเหตุที่เราเรียกนมาซนี้ว่า นมาซวิตรี่ เพราะพิจารณาถึงผลสรุปจำนวนร็อกอะฮ์ของมันว่า สุดท้ายจะต้องเป็น “จำนวนคี่” เสมอ (วิตรี่ แปลว่า จำนวนคี่) ...
และสาเหตุที่เราเรียกนมาซนี้ว่า นมาซตะฮัจญุด ก็เพราะเรานอนก่อนแล้วตื่นขึ้นมาทำมันทีหลัง ...
(คำว่า “ตะฮัจญุด” แปลว่า การนอนหลับ/ การตื่นขึ้นมาตอนกลางคืน) ...
อุปมาเปรียบเทียบในเรื่องนี้ ก็อุปมัยอย่างเช่นคุณชวน หลีกภัย ซึ่งเราสามารถเรียกท่านได้หลายอย่าง แล้วแต่ว่าจะมองในมุมมองไหน ...
เราเรียกท่านว่า คุณชวน หลีกภัย ก็ได้(เพราะนี่คือชื่อจริงของท่าน) ...
เราเรียกท่านว่า อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ก็ได้(เพราะในอดีตท่านเคยเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองนี้) ...
เราเรียกท่านว่า อดีตนายกรัฐมนตรี ก็ได้ (เพราะในอดีตท่านเคยดำรงตำแหน่งนี้)
เราเรียกท่านว่า อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการก็ได้ (เพราะในอดีตท่านเคยดำรงตำแหน่งนี้) ...
เราเรียกท่านว่า อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยก็ได้ (เพราะในอดีตท่านเคยดำรงตำแหน่งนี้) ...
เราเรียกท่านว่า อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ก็ได้ (เพราะในอดีตท่านเคยดำรงตำแหน่งนี้) ...
เราเรียกท่านว่า ประธานกรรมการที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ ก็ได้ (เพราะปัจจุบันท่านดำรงตำแหน่งนี้) ...
หรือเราจะเรียกท่านว่า ลูกแม่ถ้วน ก็ได้(เพราะมารดาของท่านคือแม่ถ้วนหลีกภัย)
แต่, ..ไม่ว่าเราจะเรียกท่านอย่างไร เราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าทุกนามข้างต้นหมายถึง“ตัวตนของบุคคลคนเดียวกัน” คือคุณชวน หลีกภัย ...
สำหรับข้อเขียนของพวกท่านข้างต้น ผมขอชี้แจงใน 8 ประเด็นดังต่อไปนี้ ...
(1). คำกล่าวที่ว่า “จำนวนละหมาดต้ารอเวี๊ยะนั้นมี 20 ร่อกาอัตจากฮาดิษของท่านนบี (ซ.ล.)” ......
ชี้แจง
หากคำพูดข้างต้นนี้ต้องการสื่อความหมายว่า จำนวนร็อกอะฮ์ของนมาซตะรอเวี๊ยะห์คือ 20 ร็อกอะฮ์เท่านั้น จะทำ “เพิ่ม” หรือ “ลด” ไม่ได้ .. คำพูดนี้ก็ขัดแย้งกับคำอธิบายตอนหลังของท่านเองที่ว่า ชาวมะดีนะฮ์นั้นจะนมาซตะรอเวี๊ยะห์ 36 ร็อกอะฮ์!
เพราะสมมุติว่า .. ถ้าท่านนบีย์(ซึ่งขณะนั้นอาศัยอยู่ที่นครมะดีนะฮ์) ทำนมาซนี้ 20 ร็อกอะฮ์จริง .. แล้วชาวมะดีนะฮ์ยุคหลังจากท่านนบีย์ไปทำ 36 ร็อกอะฮ์ ...
ชาวมะดีนะฮ์ก็เป็นผู้ “เพิ่มเติม” จำนวนร็อกอะฮ์ของนมาซนี้ให้มากขึ้นกว่าการกระทำของท่านนบีย์ ...
การเพิ่มจำนวนร็อกอะฮ์นมาซนี้ของชาวมะดีนะฮ์จึงแสดงว่า นมาซนี้ไม่มีการกำหนดจำนวนร็อกอะฮ์ที่ “แน่นอนตายตัว” ว่าต้องทำเพียง 20 ร็อกอะฮ์ ...
เมื่อไม่มีการกำหนดจำนวนร็อกอะฮ์ที่แน่นอนตายตัว .. คือ สามารถทำเพิ่มจากการกระทำของท่านนบีย์ได้ ...
ผมจึงสงสัยว่า แล้วทำไมจะทำลด ไม่ได้ ? ...
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จำนวนที่ลดลง (จากจำนวนเต็มที่ท่านนบีย์ทำไว้ 20 ร็อกอะฮ์ดังหะดีษที่ท่านอ้างถึงในตอนหลัง) เหลือเพียง 11 ร็อกอะฮ์ ก็เป็นจำนวนที่ท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมเอง กระทำเป็นประจำ เสียด้วย .. ดังหะดีษเศาะเหี๊ยะห์ที่รายงานโดยท่านหญิงอาอิชะฮ์ ร.ฎ.ข้างต้น ...
ส่วนข้ออ้างของท่านตอนหลังที่ว่า .. “แต่ไม่อนุญาตให้บุคคลอื่นจากชาวมะดีนะฮ์ปฏิบัติ 36 ร็อกอะฮ์” .. ก็เป็นเพียงข้ออ้างที่เลื่อนลอยหรือเป็นทัศนะของนักวิชาการบางท่านโดยปราศจากหลักฐานใดๆทั้งสิ้น ...
ใครคือผู้กำหนดข้อห้ามดังกล่าว ? .. ท่านนบีย์เอง, หรือชาวมะดีนะฮ์คนใด ? ...
เพราะฉะนั้นสรุปแล้ว ที่ถูกต้องตามทัศนะของพวกท่านในกรณีนี้ จึงควรจะพูดว่า นมาซตะรอเวี๊ยะฮ์นั้นไม่มีจำนวนร็อกอะฮ์ที่แน่นอนตายตัว แม้ท่านนบีย์จะทำ 20 ร็อกอะฮ์ ก็ตาม ...
(2). คำกล่าวที่ว่า .. “แท้จริงท่านนบี (ซ.ล.) ได้ออกจากบ้านในช่วงหนึ่งของกลางคืนจากเดือนร่อมาฎอน คือคืนที่ 3, คืนที่ 5, และคืนที่ 27” ...
ชี้แจง
ข้อความตอนนี้และต่อไปเกือบทั้งหมด ผมรู้ว่าพวกท่านคัดลอกและแปลมาจากหนังสือ “อัล-ฟิกฮ์ อะลัลมะษาฮิบิล อัรฺบะอะฮ์” หรือหนังสือ “ฟิกฮ์ 4 มัษฮับ” เล่มที่ 1 หน้า 341 ซึ่งเรียบเรียงโดยท่านเช็คอับดุรฺเราะห์มาน อัล-ญะซะรีย์ (สิ้นชีวิตปี ค.ศ.1970, ขออัลลอฮ์โปรดเมตตาต่อท่านด้วย) ..โดยพวกท่านไม่ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงจากตำราที่หนังสือฟิกฮ์ 4 มัษฮับเล่มนั้นอ้างอิงถึงแต่อย่างใด ข้อมูลของมันจึงมีความคลาดเคลื่อนมากมายดังจะได้อธิบายต่อไป ...
ส่วนข้อความข้างต้นนี้ ขออภัยที่ผมจำเป็นต้องทักท้วงว่า ผู้แปลได้แปลคำพูดของท่านเช็คอับดุรฺเราะห์มาน อัล-ญะซะรีย์ไม่ถูกต้อง ซึ่งเป็นไปได้ว่าอาจเป็นเพราะท่านไม่เข้าใจลักษณะการเชื่อมคำ (عَطْفٌ) เกี่ยวกับคำนามที่เป็นตัวเลขเรียงตั้งแต่ยี่สิบขึ้นไปในภาษาอาหรับ ก็ได้ ...
ข้อความจากต้นฉบับหนังสือฟิกฮ์ 4 มัษฮับ เล่มและหน้าดังกล่าว เขียนว่า ...
فَقَدْ رَوَى الشَّيْخَانِ ((أَنَّهُ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ خَرَجَ مِنْ جَوْفِ اللَّيْلِ لَيَالِىَ مِنْ رَمَصَانَ، وَهِىَ ثَلاَثٌ مُتَفَرِّقَةٌ، لَيْلَةُ الثَّالِثِ، وَالْخَامِسِ، وَالسَّابِعِ وَالْعِشْرِيْنَ ..... ))
ซึ่งคำแปลที่ถูกต้องก็คือ .. “แท้จริงท่านเช็คทั้งสอง (คือท่านบุคอรีย์และท่านมุสลิม) ได้รายงานมาว่า ท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมได้ออกไปในตอนกลางคืน – หลายคืน -- จากเดือนรอมะฎอนซึ่งเป็น 3 คืนที่แยกกัน คือ คืนที่ 23, คืนที่ 25, และคืนที่ 27 .........”
หลักฐานยืนยันในเรื่องนี้ก็คือหะดีษหลายบทที่ถูกรายงานมาเกี่ยวกับเรื่องการออกมานมาซร่วมกับเศาะหาบะฮ์เพียง 3 คืนของท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมในเดือนรอมะฎอนหนึ่งในมัสญิด .. อย่างเช่นหะดีษของท่านอัน-นุอฺมาน บินบะชีรฺ ร.ฎ. ที่กล่าวว่า ...
قُمْنَا مَعَ رَسُوْلِ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ فِىْ شَهْرِ رَمَضَانَ لَيْلَةَ ثَلاَثٍ وَعِشْرِيْنَ إِلَى ثُلُثِ اللَّيْلِ اْلأَوَّلِ، ثُمَّ قُمْنَا مَعَهُ لَيْلَةَ خَمْسٍ وَعِشْرِيْنَ إِلَى نِصْفِ اللَّيْلِ، ثُمَّ قُمْنَا مَعَهُ لَيْلَةَ سَبْعٍ وَعِشْرِيْنَ حَتىَّ ظَنَنَّا أَنْ لاَ نُدْرِكَ الْفَلاَحَ، _ وَكَانُوْا يُسَمُّوْنَهُ السَّحُوْرَ ...
“พวกเราได้นมาซพร้อมกับท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมคืนที่ 23 ของเดือนรอมะฎอนจนถึงหนึ่งในสามแรกของคืน (คือจนถึงประมาณ 4 ทุ่ม), ต่อมาพวกเราก็ได้นมาซพร้อมกับท่านในคืนที่ 25 จนถึงเที่ยงคืน, หลังจากนั้นพวกเราก็นมาซพร้อมกับท่านในคืนที่ 27 จนพวกเราเข้าใจว่า พวกเราคงไม่ทันอัล-ฟะลาห์, (ท่านอัน-นุอฺมานกล่าวว่า) และพวกเขา (เศาะหาบะฮ์) จะเรียกมัน (อัล-ฟะลาห์) ว่าการทานอาหารซะหูรฺ(หรือเวลาซะหูรฺ)” ...
(บันทึกโดยท่านอัน-นะซาอีย์ หะดีษที่ 1605, ท่านอิหม่ามอะห์มัด เล่มที่ 4 หน้า 272, ท่านอิบนุอบีย์ชัยบะฮ์ เล่มที่ 2 หน้า 286, ท่านอิบนุคุซัยมะฮ์ หะดีษที่ 2204, ท่านอัล-หากิมในหนังสือ “อัล-มุสตัดร็อก” เล่มที่ 1 หน้า 607, และท่านมุหัมมัด อิบนุนัศรฺ ในหนังสือ “กิยามุรอมะฎอน” หะดีษที่ 20 สำนวนข้างต้นเป็นสำนวนจากการบันทึกของท่านอัน-นะซาอีย์ ด้วยสายรายงานที่ถูกต้อง) ...
(3). คำกล่าวที่ว่า .. “ท่านได้ละหมาดที่มัสยิดและประชาชนได้ละหมาดพร้อมท่าน ปรากฏว่าท่านได้ละหมาดพร้อมกับพวกเขา 8 ร่อกาอัต แล้วประชาชนได้กลับไปทำอย่างสมบูรณ์ที่บ้านของพวกเขาในส่วนที่เหลือ (คืออีก 12 ร่อกาอัตและวิเตรฺอีก 3 ร่อกาอัต) ซึ่งปรากฏว่าเสียงดังกระหึ่มไปทั่วเสมือนกับเสียงของผึ้ง) รายงานโดยบุคอรีมุสลิม ...
ชี้แจง
ข้อความข้างต้นนี้ กล่มทุนติญารียะห์และกลุ่มครูฟัรฺฎูอีนได้แปลมาจากหนังสือฟิกฮ์ 4 มัษฮับเล่มที่ 1 หน้า 341 ซึ่งมีข้อความเป็นภาษาอาหรับว่า ...
وَصَلَّى النَّاسُ بِصَلاَتِهِ فِيْهَا، وَكاَنَ يُصَلِّىْ بِهِمْ ثَمَانِ رَكَعَاتٍ، وَيُكَمِّلُوْنَ بَاقِيَهَا فِىْ بُيُوْتِهِمْ، فَكاَن َيُسْمَعُ لَهُمْ أَزِيْزٌ كَأَزِيْزِ النَّحْلِ ...
แม้การแปลของท่านจะถูกต้อง แต่ผมขอเรียนชี้แจงว่า ข้อความข้างต้นนี้ ถือเป็นการอ้างรายงานที่ “มั่ว” ที่สุดของหนังสือฟิกฮ์ 4 มัษฮับเล่มนี้ ...
เพราะข้อความดังกล่าวทั้งหมด – โดยเฉพาะตั้งแต่คำกล่าวที่ว่า .. ท่านได้ละหมาดพร้อมกับพวกเขา 8 ร่อกาอัต แล้วประชาชนได้กลับไปทำอย่างสมบูรณ์ที่บ้านของพวกเขาในส่วนที่เหลือ ซึ่งปรากฏว่ามีเสียงดังกระหึ่มไปทั่วเสมือนกับเสียงของผึ้ง – นั้น ...
ขอยืนยันว่า ข้อความที่ผมลงตัวหนาไว้นี้ ไม่มีปรากฏอยู่ในส่วนไหนและตอนใดในหะดีษของท่านบุคอรีย์และท่านมุสลิมแม้แต่นิดเดียว ...
อย่าว่าแต่ในตำราหะดีษบุคอรีย์และมุสลิมเลย แม้แต่ในตำราหะดีษที่เชื่อถือได้เล่มอื่นๆ อาทิเช่นอบูดาวูด, อัน-นะซาอีย์, อัต-ติรฺมีซีย์, อัล-มุวัฏเฏาะอ์, มุสนัดอิหม่ามอะห์มัด, อิบนุมาญะฮ์ เป็นต้น ก็ไม่ปรากฏมีข้อความข้างต้นนี้เช่นเดียวกัน ...
ผมจึงสงสัยว่าท่านอัล-ญะซะรีย์เอาข้อความดังกล่าวนี้จากตำราหะดีษเล่มใดมาระบุในหนังสือฟิกฮ์ 4 มัษฮับของท่าน ??? ...
ผมขออธิบายรายละเอียดของข้อความข้างต้นนี้เพิ่มเติม 2 ประการด้วยกันคือ ...
ประการที่ 1 ในหนังสือหะดีษบุคอรีย์และมุสลิมบทที่กล่าวถึงการออกมานมาซญะมาอะฮ์พร้อมกับบรรดาเศาะหาบะฮ์ใน 3 คืนดังกล่าวของท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมทุกบท ไม่มีบทใดกล่าวถึงจำนวนร็อกอะฮ์ที่ท่านนบีย์นำนมาซพวกเขาเลยว่า ท่านทำ 8 ร็อกอะฮ์,..นอกจากเราได้ทราบจำนวนร็อกอะฮ์ดังกล่าวนั้นจากการบันทึกของท่านมุหัมมัด อิบนุนัศร์ในหนังสือ “กิยามุรอมะฎอน” หะดีษที่ 22, ท่านอิบนุคุซัยมะฮ์ หะดีษที่ 1070, และท่านอัฏ-ฏ็อบรอนีย์ในหนังสือ “อัล-มุอฺญัม อัศ-เศาะฆีรฺ” หะดีษที่ 525 โดยรายงานมาจากท่านญาบิรฺ บินอับดุลลอฮ์ ร.ฎ.ว่า ...
صَلَّى بِنَا رَسُوْلُ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ فِىْ شَهْرِ رَمَضَانَ ثَمَانِ رَكَعَاتٍ وَأَوْتَرَ
“ท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมได้นำนมาซพวกเราในเดือนรอมะฎอน (หมายถึงนมาซตะรอเวี๊ยะห์) 8 ร็อกอะฮ์, และท่านก็ทำนมาซวิตรี่” ...
หะดีษบทนี้ แม้สายรายงานจะเฎาะอีฟ แต่ข้อความของมันถือว่าถูกต้องเพราะได้รับการยืนยันจากรายงานของท่านหญิงอาอิชะฮ์ ร.ฎ. ที่ผ่านมาแล้วตอนต้น ...
และคำว่า “และท่านก็ทำนมาซวิตรี่” ตามรูปการณ์แล้วแสดงว่าท่านญาบิรฺ บินอับดุลลอฮ์ ร.ฎ.เห็นท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมทำนมาซวิตรี่ที่มัสญิด ไม่ใช่กลับไปทำที่บ้าน ...
ประการที่ 2 คำว่า أَزِيْزٌ แปลว่า เสียงหึ่ง, เสียงครืดๆ, เสียงครางเบาๆ .. และคำว่า اَلنَّحْلُ แปลว่า ผื้ง ...
เมื่อเอาทั้ง 2 คำนี้มารวมกันเป็น أَزِيْزُالنَّحْلِ จึงมีความหมายว่า เสียงหึ่งๆของผึ้ง ...
ซึ่งคำว่า أَزِيْزُالنَّحْلِ ที่แปลว่า “เสียงหึ่งๆของผื้ง” นี้ ผมไม่เคยเจอว่าจะมีบันทึกในตำราหะดีษเล่มใดเช่นเดียวกัน ...
ที่เจอในตำราหะดีษก็คือสำนวนที่ว่า أَزِيْزُالْمِرْجَلِ ซึ่งแปลว่า เสียง(น้ำ)เดือดในกาต้มน้ำ .. ดังบันทึกของท่านอัน-นะซาอีย์ ในหนังสือ “อัส-สุนัน” หะดีษที่ 1213, และท่านอิหม่ามอะห์มัดในหนังสือ “อัล-มุสนัด” เล่มที่ 4 หน้า 25. ...
และอีกสำนวนหนึ่งก็คือ أَزِيْزُالرَّحَى ซึ่งแปลว่าเสียงของเครื่องโม่แป้ง .. จากการบันทึกของท่านอบูดาวูด หะดีษที่ 904 ...
จาก 2 สำนวนข้างต้นนี้ ไม่ใช่เป็นการกล่าวถึง “เสียง” การนมาซตะรอเวี๊ยะห์ที่บ้านของบรรดาเศาะหาบะฮ์ .. แต่เป็นการกล่าวเปรียบเทียบของเศาะหาบะฮ์ต่อ “เสียงร้องไห้” ของท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมขณะกำลังนมาซ(ในบางครั้ง)ว่า ท่านสะอื้นในอก ฟังคล้ายเสียงน้ำเดือดในหม้อต้มหรือเสียงคล้ายการโม่แป้ง ...
และอีกสำนวนหนึ่งที่มีปรากฏในหะดีษก็คือ دَوِىُّ النَّحْلِ ซึ่งแปลว่า เสียงหึ่งของผึ้ง เช่นเดียวกัน ...
สำนวนนี้มีบันทึกในหนังสือ “อัส-สุนัน” ของท่านอัด-ดาริมีย์ หะดีษที่ 5, 7, และท่านอิหม่ามอะห์มัด เล่มที่ 1 หน้า 34, เล่มที่ 4 หน้า 268, 271 ...
แต่สำนวนหลังนี้ในบรรดาหะดีษที่ผมระบุการบันทึกมาดังข้างต้นก็ไม่ใช่เป็นเรื่อง “เสียงกระหึ่ม” ของการนมาซตะรอเวี๊ยะห์ที่บ้านของเศาะหาบะฮ์เช่นเดียวกัน ...
สรุปแล้ว ข้ออ้างเรื่องการกลับไปทำนมาซตะรอเวี๊ยะห์ต่อที่บ้าน(จนสมบูรณ์)ของท่านนบีย์และเศาะหาบะฮ์ดังที่มีระบุในหนังสือฟิกฮ์ 4 มัษฮับและกองทุนติญารียะฮ์ จึงเป็นข้ออ้างที่ปราศจากข้อมูลหลักฐานโดยสิ้นเชิง ...
และเมื่อเราพิจารณาข้อความจากรายงานของท่านอัน-นุอฺมานบินบะชีรฺ ร.ฎ.ที่เพิ่งผ่านมาจากหน้า 13 ก็จะเป็นสิ่งยืนยันถึงความไม่ถูกต้องของข้ออ้างข้างต้นได้ชัดเจนยิ่งขึ้น เพราะหะดีษบทนี้ระบุว่า ท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้ออกมานำนมาซตะรอเวี๊ยะห์แก่เศาะหาบะฮ์ของท่านเพียง 3 คืนเท่านั้น คือ ...
คืนที่ 23 ท่านนบีย์นำพวกเขานมาซจนถึง 4 ทุ่ม ...
ซึ่งตามรูปการณ์แล้วเป็นการนมาซเสร็จพร้อมกันที่มัสญิดทั้งหมดดังที่ได้อธิบายผ่านมาแล้ว เพราะไม่มีรายงานเพิ่มเติมว่าพวกเขากลับไปทำนมาซต่อที่บ้านอีก ...
คืนที่ 25 ท่านนบีย์นำนมาซพวกเขาจนเสร็จพร้อมกันในตอนเที่ยงคืนโดยไม่มีผู้ใดกลับไปทำนมาซต่อที่บ้านอีกเช่นเดียวกัน เพราะถูกท่านนบีย์ “ปราม” เอาไว้ .. ดังหลักฐานที่กำลังจะถึงต่อไป ...
และคืนที่ 27 ท่านนบีย์ก็นำพวกเขานมาซจนเกือบถึงเวลาซะหูรฺ ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะมีใครกลับไปทำนมาซต่อที่บ้านทันถึง 15 ร็อกอะฮ์ ...
เพราะฉะนั้น คำอธิบายของกลุ่มทุนติญารียะฮ์อย่างเป็นตุเป็นตะที่ว่า .. แล้วประชาชนได้กลับไปทำอย่างสมบูรณ์ที่บ้านของพวกเขาในส่วนที่เหลือ (คืออีก 12 ร่อกาอัตและวิเตรอีก 3 ร่อกาอัต) .. นั้น ...
ผมอยากทราบว่าคำอธิบายข้างต้นนี้ พวกท่านเอาหลักฐานมาจากตำราหะดีษที่ถูกต้องเล่มใด ??? ...
ต่อไปนี้คือหลักฐานจากคำกล่าวของผมข้างต้นที่ว่า ท่านนบีย์ได้ “ปราม” บรรดาเศาะหาบะฮ์ของท่านจากการนมาซอื่นใดอีก หลังจากที่พวกเขาได้นมาซตะรอเวี๊บะห์เสร็จสมบูรณ์พร้อมกับท่าน(หรือพร้อมกับอิหม่ามของเขา) ที่มัสญิดแล้ว ...
ท่านอบูซัรฺร์ อัล-ฆิฟารีย์ ร.ฎ.ได้รายงานมาว่า ...
صُمْنَا، وَلَمْ يُصَلِّ بِنَا صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ حَتىَّ بَقِىَ سَبْعٌ مِنَ الشَّهْرِ، فَقَامَ بِنَا حَتىَّ ذَهَبَ ثُلُثُ اللَّيْلِ، ثُمَّ لَمْ يَقُمْ بِنَا فِى السَّادِسَةِ، وَقَامَ بِنَا فِى الْخَامِسَةِ حَتىَّ ذَهَبَ شَطْرُ اللَّيْلِ، فَقُلْنَا : يَا رَسُوْلَ اللهِ! لَوْ نَفَّلْتَنَا بَقِيَّةَ لَيْلَتِنَا هَذِهِ؟ فَقَالَ : إِنَّهُ مَنْ قَامَ مَعَ اْلإِمَامِ حَتىَّ يَنْصَرِفَ كُتِبَ لَهُ قِيَامُ لَيْلَةٍ ....
“พวกเราถือศีลอด และท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมก็ไม่เคยนำเรานมาซ จนกระทั่งเหลืออีก 7 วันของเดือนนั้น (คือจนถึงคืนที่ 23 ของเดือนรอมะฎอน) ท่านจึงนำพวกเรานมาซจนถึงหนึ่งในสามของคืน (คือถึงประมาณ 4 ทุ่ม), แล้วท่านก็ไม่นำเรานมาซในคืนที่ 6 (ที่ยังเหลือ) แต่ท่านได้นำเรานมาซอีกในคืนที่ 5 (ที่ยังเหลือ)จนผ่านไปครึ่งคืน พวกเราจึงกล่าวว่า ..โอ้ ท่านรอซู้ลุลลอฮ์, สมมุติถ้าท่านจะอนุญาตให้เรานมาซ(หรือนำเรานมาซ)ในครึ่งคืนที่เหลือนี้ของเรา (จะได้หรือไม่?) ท่านจึงตอบว่า .. “แท้จริง ผู้ใดที่นมาซพร้อมกับอิหม่ามจนเสร็จสิ้น เขาก็จะถูกบันทึก (ผลบุญ) ให้เท่ากับได้นมาซทั้งคืนอยู่แล้ว” ...
(บันทึกโดย ท่านอบูดาวูด หะดีษที่ 1378, ท่านอัน-นะซาอีย์ หะดีษที่ 1604, ท่านอัต-ติรฺมีซีย์ หะดีษที่ 806, ท่านอิบนุมาญะฮ์ หะดีษที่ 1327, ท่านอิบนุอบีย์ชัยบะฮ์ เล่มที่ 2 หน้า 286, ท่านอัฏ-เกาะหาวีย์ในหนังสือ “ชัรฺหุมะอานีย์ อัล-อาษารฺ” เล่มที่ 1 หน้า 349, ท่านอัล-บัยฮะกีย์ เล่มที่ 2 หน้า 494, ท่านอิบนุคุซัยมะฮ์ หะดีษที่ 2206 และท่านมุหัมมัด อิบนุนัศร์ ในหนังสือ “กิยามุรอมะฎอน” หะดีษที่ 17) ...
หะดีษที่ถูกต้องบทนี้ เป็นหลักฐานหลายอย่างคือ ...
1. บรรดาเศาะหาบะฮ์ได้นมาซตะรอเวี๊ยะฮ์ในลักษณะญะมาอะฮ์ เสร็จสิ้นในมัสญิดพร้อมกับท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะวัลลัมแล้ว โดยไม่ได้กลับไปทำต่อที่บ้านอีกดังข้ออ้างของกลุ่มทุนติญารียะห์ ..
ข้อนี้เราทราบได้จากคำกล่าวของท่านนบีย์ที่กล่าวแก่พวกเขาว่า .. “แท้จริงผู้ใดนมาซพร้อมกับอิหม่ามจนเสร็จสิ้นแล้ว ..........”
2. บรรดาเศาะหาบะฮ์กระหายที่จะได้รับผลบุญเพิ่มเติมจากการทำนมาซในเวลาที่ยังเหลืออีกครึ่งคืน จึงไปขออนุญาตต่อท่านนบีย์ เพื่อให้ท่านอนุญาต, หรือมิฉะนั้นก็ให้ท่านนำพวกเขาทำนมาซสุนัตต่อไปอีก ...
(คำว่า نَفَّلْتَنَا อาจมีความหมายว่า ให้ท่านอนุญาตพวกเราทำนมาซสุนัตต่อไป ก็ได้, หรือจะแปลว่า ให้ท่านนำพวกเรานมาซสุนัตต่อไป ก็ได้ ดังคำอธิบายในหนังสือ “ชัรฺหุ มะอานีย์ อัล-อาษารฺ” เล่มที่ 1 หน้า 349) ...
กรณีนี้จึงคล้ายกับมุสลิมบางคนในปัจจุบันที่หลังจากผ่านการนมาซตะรอเวี๊ยะห์พร้อมกับอิหม่ามที่มัสญิดเสร็จแล้ว ก็ยังกลับไปทำนมาซต่อที่บ้านอีกในส่วนที่เหลือของคืน --โดยเรียกนมาซตอนหลังนี้ว่า กิยามุ้ลลัยล์บ้าง, นมาซตะฮัจญุดบ้าง ...
แน่ละ เป้าหมายของบรรดาเศาะหาบะฮ์และพวกเขาตรงกัน คือ “หวังผลบุญเพิ่มเติม” จากการทำนมาซในส่วนที่เหลือของคืน ...
ต่างกันที่ว่าบรรดาเศาะหาบะฮ์ไม่กล้าทำไปโดยพลการ .. ทว่า, ต้องขออนุญาตจากท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมเสียก่อน ...
แต่ประชาชนบางคนในปัจจุบันนี้คิดเอง, ทำเอง ..โดยไม่ต้องขออนุญาตจากใคร
3. คำพูดของท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมที่กล่าวเมื่อถูกบรรดาเศาะหาบะฮ์ขออนุญาตทำนมาซต่อด้วยคำพูดที่ว่า .. “แท้จริง ผู้ใดที่นมาซพร้อมกับอิหม่ามจนเสร็จสิ้น เขาก็จะถูกบันทึกผลบุญให้เท่ากับได้นมาซทั้งคืนอยู่แล้ว” .. ก็คือ “การปราม” อย่างนิ่มๆต่อเศาะหาบะฮ์ของท่านจากการทำนมาซสุนัตใดอีกหลังจากที่เขาได้นมาซตะรอเวี๊ยะห์และนมาซวิตรี่เสร็จสิ้นพร้อมอิหม่ามที่มัสญิดแล้ว ด้วยการแจ้งเหตุผลว่า ผู้ที่นมาซในลักษณะดังกล่าว จะได้รับผลบุญเท่ากับนมาซทั้งคืนอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องกลับไปทำนมาซใดๆในคืนนั้นอีก ...
จึงขอแนะนำให้ผู้ที่กลับไปทำนมาซที่เรียกกันเองว่ากิยามุ้ลลัยล์ (?) ต่อที่บ้านหลังจากนมาซตะรอเวี๊ยะห์เสร็จพร้อมกับอิหม่ามที่มัสญิดแล้ว ควรพิจารณาว่า การกระทำของพวกท่านดังกล่าวนี้ เป็นการฝ่าฝืนการ “ปราม” ของท่านนบีย์หรือไม่ ? ...
(4). คำกล่าวที่ว่า .. “จากเหตุการณ์ตรงนี้ บรรดาซอฮาบะฮ์จึงถือว่า การละหมาดต้ารอเวี๊ยะนั้นจึงเป็นแบบฉบับของท่านนบี แต่ไม่ได้มีการละหมาดจำนวน 20 ร่อกาอัตอย่างเปิดเผย เสมือนสมัยของท่านอุมัร และบุคคลหลังจากท่านอุมัรจนถึงปัจจุบัน .....”
ชี้แจง
คำพูดที่ว่า .. บรรดาเศาะหาบะฮ์ถือว่าการนมาซตะรอเวี๊ยะห์นั้น เป็นแบบฉบับของท่านนบีย์ .. เป็นคำพูดที่ถูกต้อง ...
แต่คำกล่าวที่ว่า .. แต่ไม่ได้มีการละหมาดจำนวน 20 ร็อกอะฮ์อย่างเปิดเผยเหมือนสมัยของท่านอุมัรฺ ... เป็นคำพูดที่ขัดแย้งกับหลักฐานที่ถูกต้องซึ่งถูกรายงานมาจากคำสั่งของท่านอุมัรฺ อิบนุ้ลค็อฏฏอบ ร.ฎ. เอง และการปฏิบัติของประชาชนในสมัยของท่าน ...
ท่านอิหม่ามมาลิก ได้บันทึกในหนังสือ “อัล-มุวัฎเฎาะอ์” เล่มที่ 1 หน้า 105 หรือหะดีษที่ 249, โดยรายงานมาจากท่านมุหัมมัด บินยูซุฟ ซึ่งรายงานมาจากน้าชายของท่านคือท่านอัซ-ซาอิบ บินยะซีด ร.ฎ.ว่า ...
أَمَرَ عُمَرُ بْنُ الْخَطَّابِ أُبَّىَ بْنَ كَعْبٍ وَتَمِيمًا الدَّارِىَّ أَنْ يَقُوْمَا لِلنَّاسِ بِإِحْدَى عَشْرَةَ رَكْعَةً
“ท่านอุมัรฺ อิบนุ้ลค็อฏฏอบได้ใช้ท่านอุบัยย์ บินกะอฺบ์ และท่านตะมีม อัด-ดารีย์ให้ทั้งสองนำนมาซ (ตะรอเวี๊ยะห์)แก่ประชาชน 11 ร็อกอะฮ์” ...
ท่านอัส-สะยูฏีย์ได้กล่าวในหนังสือ “อัล-มะศอเบี๊ยะห์ ฟีศ่อลาติตตะรอเวี๊ยะห์” ซึ่งรวมชุดอยู่ในหนังสือ “อัล-หาวีย์ ลิ้ลฟะตาวีย์” เล่มที่ 1 หน้า 542 ว่า ...
وَلَكِنْ فِى الْمُوَطَّأِ وَفِىْ مُصَنَّفِ سَعِيْدِ بْنِ مَنْصُوْرٍ بِسَنَدٍ فِىْ غَايَةِ الصِّحَّةِ عَنْ السَّائِبِ بْنِ يَزِيْدَ إِحْدَى عَشْرَةَ رَكْعَةً ...
“แต่ .. มีปรากฏในหนังสืออัล-มุวัฎเฎาะอ์(ของท่านอิหม่ามมาลิก) และหนังสืออัล-มุศ็อนนัฟของท่านสะอีด บินมันศูรฺ “ด้วยสายรายงานที่ถูกต้องสุดๆ” (จากท่านมุหัมมัด บินยูซุฟ) จากท่านอัซ-ซาอิบ บินยะซีด(ที่กล่าว)ว่า (ท่านอุมัรฺ อิบนุ้ลค็อฏฏอบได้ใช้ให้ท่านอุบัยย์ บินกะอฺบ์และท่านตะมีม อัด-ดารีย์นำประชาชนนมาซ) 11 ร็อกอะฮ์” ...
รายงานเรื่อง 11 ร็อกอะฮ์ จึงถือเป็นรายงานที่ “ถูกต้องที่สุด” จากคำสั่งของท่านอุมัรฺในกรณีนี้ ...
อนึ่ง อีกรายงานหนึ่งของท่านอิหม่ามมาลิก, จากท่านยะซีด บินรูมานที่กล่าวว่า
كَانَ النَّاسُ يَقُوْمُوْنَ فِىْ زَمَنِ عُمَرَ بْنِ الْخَطَّابِ فِىْ رَمَضَانَ بِثَلاَثٍ وَعِشْرِيْنَ رَكْعَةً
“ประชาชนในสมัยของท่านอุมัรฺ อิบนุ้ลค็อฏฏอบ ได้ทำนมาซ(ตะรอเวี๊ยะห์) ในเดือนรอมะฎอน 23 ร็อกอะฮ์” ...
(บันทึกโดยท่านอิหม่ามมาลิกในหนังสือ “อัล-มุวัฏเฏาะอ์” เล่มที่ 1 หน้า 105 และท่านอัล-บัยฮะกีย์ในหนังสือ “อัส-สุนัน อัล-กุบรออ์” เล่มที่ 2 หน้า 496)) ...
ท่านอิหม่ามนะวะวีย์ได้กล่าวในหนังสือ “อัล-มัจญมั๊วะอฺ” เล่มที่ 4 หน้า 33 ว่า
يَزِيْدُ بْنُ رُوْمَانَ لَمْ يُدْرِكْ عُمَرَ
“ยะซีด บินรูมาน (เกิด)ไม่ทันท่านอุมัรฺ ...
ความหมายคำกล่าวข้างต้นนี้ก็คือรายงานข้างต้นนี้เป็นรายงานที่เฎาะอีฟเพราะสายรายงานขาดตอน! เนื่องจากท่านยะซีด บินรูมานผู้อ้างรายงานดังกล่าวเกิดไม่ทันยุคของท่านอุมัรฺ อิบนุ้ลค็อฏฏอบ ร.ฎ. ...
(ท่านอุมัรฺสิ้นชีวิตปีฮ.ศ. 23, ส่วนท่านยะซีด บินรูมานสิ้นชีวิตปีฮ.ศ. 130) ...
และสำหรับคำกล่าวของท่านอิหม่ามนะวะวีย์ในหนังสือ “อัล-มัจญมั๊วะอฺ” ที่ว่า
وَاحْتَجَّ أَصْحَابُنَا بِمَا رَوَاهُ الْبَيْهَقِىُّ وَغَيْرُهُ بِاْلإِسْنَادِ الصَّحِيْحِ عَنِ السَّائِبِ بْنِ يَزِيْدَ الصَّحَابِى رَضِىَ اللهُ عَنْهُ قَالَ : كَانُوْا يَقُوْمُوْنَ عَلَى عَهْدِ عُمَرَ بْنِ الْخَطَّابِ رَضِىَ اللهُ عَنْهُ فِىْ شَهْرِرَمَضَانَ بِعِشْرِيْنَ رَكْعَةً ........
“บรรดาอัศหาบของเรา (คือนักวิชาการมัษฮับท่านอิหม่ามชาฟิอีย์) ได้อ้างหลักฐานจากการรายงานของท่านอัล-บัยฮะกีย์และผู้อื่น ด้วยสายรายงานที่ถูกต้อง .. จากท่านอัซ-ซาอิบ บินยะซีด ร.ฎ. เศาะหาบะฮ์ท่านหนึ่งซึ่งกล่าวว่า .. ประชาชนในสมัยของท่านอุมัรฺ อิบนุ้ลค็อฏฏอบ ร.ฎ. ได้ทำนมาซในเดือนรอมะฎอน 20 ร็อกอะฮ์ .......”
(จากหนังสือ “อัล-มัจญมั๊วะอฺ” เล่มที่ 4 หน้า 32-33) ...
รายงานข้างต้นนี้ ถูกบันทึกโดยท่านอัล-บัยฮะกีย์ในหนังสือ “อัส-สุนัน อัล-กุบรออ์” เล่มที่ 2 หน้า 496 โดยรายงานมาจากท่านยะซีด บินคุศ็อยฟะฮ์, จากท่านอัซ-ซาอิบ บินยะซีด ร.ฎ. ...
สายรายงานนี้เป็นสายรายงานที่ถูกต้อง ดังคำกล่าวของท่านอิหม่ามนะวะวีย์ ...
และรายงานนี้ ถือเป็น “หลัก” สำคัญที่สุดของผู้ที่มีทัศนะว่า จำนวนร็อกอะฮ์ของนมาซตะรอเวี๊ยะห์คือ 20 ร็อกอะฮ์ ...
แต่ผมขอเรียนชี้แจงว่า แม้“สายรายงาน” ของหะดีษนี้จะถูกต้อง แต่ “ข้อความ” ของมันที่กล่าวว่า “20 ร็อกอะฮ์” ถือว่าผิดเพี้ยน (เรียกตามศัพท์วิชาการหะดีษว่า شَاذٌّ) เพราะไปขัดแย้งกับรายงานที่ถูกต้องกว่าซึ่งระบุว่า “11 ร็อกอะฮ์” ...
เพราะ .. ท่านสะอีด บินมันศูรฺ ได้บันทึกในหนังสือ “อัล-มุศ็อนนัฟ” จากท่านมุหัมมัด บินยูซุฟ, จากท่านอัซ-ซาอิบ บินยะซีด ร.ฎ. เช่นเดียวกัน แต่มีข้อความว่า ...
كُنَّا نَقُوْمُ فِىْ زَمَنِ عُمَرَ بْنِ الْخَطَّابِ رَضِىَ اللهُ عَنْهُ بِإِحْدَى عَشْرَةَ رَكْعَةً
“พวกเราทำนมาซ(ตะรอเวี๊ยะห์) กันในสมัยของท่านอุมัรฺ อิบนุ้ลค็อฏฏอบ ร.ฎ. 11 ร็อกอะฮ์” ...
(จากหนังสือ “ตุ๊ห์ฟะตุ้ล อะห์วะซีย์” เล่มที่ 3 หน้า 530) ...
โปรดสังเกตว่า ท่านยะซีด บินคุศ็อยฟะฮ์รายงานมาจากท่านอัซ-ซาอิบ บินยะซีด ร.ฎ.ว่า ประชาชนในสมัยท่านอุมัรฺทำนมาซตะรอเวี๊ยะห์ 20 ร็อกอะฮ์ ...
แต่ท่านมุหัมมัด บินยูซุฟ รายงานมาจากท่านอัซ-ซาอิบ บินยะซีด ร.ฎ.เช่นเดียวกันว่า ประชาชนในสมัยท่านอุมัรฺ ทำนมาซตะรอเวี๊ยะห์ 11 ร็อกอะฮ์ ...
รายงานของท่านยะซีดบินคุศ็อยฟะฮ์และท่านมุหัมมัดบินยูซุฟจึงขัดแย้งกัน ...
ในกรณีนี้ – ตามหลักวิชาการหะดีษ -- จึงต้องพิจารณาถึงความ “น่าเชื่อถือ” ของทั้งสองท่านที่รายงานให้ขัดแย้งกันว่า ผู้ใดได้รับความเชื่อถือมากกว่า ...
ปรากฏว่า ท่านอิบนุหะญัรฺ อัล-อัสเกาะลานีย์ ได้สรุปประวัติของท่านยะซีด บินคุซัยฟะฮ์ในหนังสือ “ตักรีบุตตะฮ์ซีบ” เล่มที่ 2 หน้า 367 (หมายเลข 278) เพียงว่า ثِقَةٌ (เชื่อถือได้) ..ซึ่งเป็นการให้ความเชื่อถือในระดับธรรมดา ...
ทั้งนี้ก็เพราะแม้ตามปกติท่านยะซีด บินคุศ็อยฟะฮ์ จะเป็นผู้รายงานที่ได้รับความเชื่อถือ แต่ท่านอิหม่ามอะห์มัดได้วิจารณ์ท่านว่าเป็น مُنْكَرُ الْحَدِيْثِ ...
(จากหนังสือ “มีซาน อัล-เอี๊ยะอฺติดาล” ของท่านอัษ-ษะฮะบีย์ เล่มที่ 4 หน้า 430)
ความหมายคำพูดของท่านอิหม่ามอะห์มัดข้างต้นก็คือ ท่านยะซีด บินคุศ็อยฟะฮ์มักจะ “รายงานเดี่ยว” ในหะดีษซึ่งไม่มีผู้ที่เชื่อถือได้ท่านอื่นๆรายงานด้วย ..ซึ่งตามหลักการแล้วหะดีษจากการรายงานของท่าน หากมันไปขัดแย้งกับการรายงานของผู้ที่เชื่อถือได้มากกว่า ก็จะถูกปฏิเสธในฐานะเป็นหะดีษที่ผิดเพี้ยน อย่างในกรณีนี้ ...
ส่วนท่านมุหัมมัด บินยูซุฟนั้น ท่านอิบนุหะญัรฺได้สรุปประวัติของท่านไว้ในหนังสือเล่มเดียวกัน หน้า 221 (หมายเลข 843) ว่า .. ثِقَةٌ، ثَبْتٌ (เชื่อถือได้, แน่นอนมาก) ซึ่งเป็นการให้ความเชื่อถือในระดับสูงกว่าท่านยะซีด บินคุศ็อยฟะฮ์ ..จนท่านอัส-สะยูฎีย์ถึงกับยอมรับว่า การรายงานของท่านมุหัมมัด บินยูซุฟ, จากท่านอัซ-ซาอิบ บินยะซีด ร.ฎ. เป็น سَنَدٍ فِىْ غَايِةِ الصِّحَّةِ .. คือ “สายรายงานที่ถูกต้องสุดๆ” ดังกล่าวมาแล้ว ...
โดยนัยนี้ ท่านมุหัมมัด บินยูซุฟ จึงได้รับความเชื่อถือจากนักวิชาการหะดีษ มากกว่าท่านยะซีด บินคุศ็อยฟะฮ์ ...
หะดีษใดที่ผู้รายงานซึ่ง “ได้รับความเชื่อถือ” รายงานให้ขัดแย้งกับผู้รายงานอื่นที่ “ได้รับความเชื่อถือมากกว่า” .. นักวิชาการจะเรียกหะดีษนั้นว่า حَدِيْثٌ شَاذٌّ .. คือ หะดีษที่ผิดเพี้ยน ซึ่งถือเป็นหะดีษเฎาะอีฟประเภทหนึ่ง ...
ดังนั้น รายงานของท่านยะซีด บินคุศ็อยฟะฮ์ที่ว่าประชากรในสมัยท่านอุมัรฺทำนมาซตะรอเวี๊ยะห์กัน 20 ร็อกอะฮ์จึงเป็นรายงานที่เฎาะอีฟ ...
สรุปแล้ว จึงไม่มีรายงานที่ถูกต้อง .. ไม่ว่าจากการกระทำของประชากรในยุคของท่านอุมัรฺ อิบนุ้ลค็อฏฏอบ ร.ฎ. หรือจากคำสั่งของท่านอุมัรฺเองว่า จะมีการสั่งหรือการทำนมาซตะรอเวี๊ยะห์ 20 ร็อกอะฮ์กันอย่างเปิดเผย .. ดังการอ้างของกลุ่มกองทุนติญารียะฮ์หรือกลุ่มครูฟัรฺฎูอีน ...
ตรงกันข้าม รายงานที่ถูกต้องในเรื่องนี้ก็คือ ท่านอุมัรฺได้สั่งให้ท่านอุบัยย์และท่านตะมีมนำประชาชนนมาซตะรอเวี๊ยะห์เพียง 11 ร็อกอะฮ์, และประชาชนในสมัยของท่านก็ทำนมาซตะรอเวี๊ยะห์กันเพียง 11 ร็อกอะฮ์ .. ตามรายงานที่ถูกต้องของท่านมุหัมมัด บินยูซุฟ, จากท่านอัซ-ซาอิบ บินยะซีด ร.ฎ. ดังกล่าวมาแล้ว ...
(5). คำกล่าวที่ว่า .. และอีกฮาดิษหนึ่งรายงานจากท่านหญิงอาอิชะฮ์กล่าวว่า ...
“แท้จริงท่านนบี (ซ.ล.)ได้ละหมาดในบรรดาคืนต่างๆของร่อมาฎอน แล้วประชาชนก็ได้ละหมาดพร้อมกับท่านนบี(ซ.ล.) หลังจากนั้นท่านก็ได้ประวิงไว้ และท่านก็ได้กลับไปละหมาด(จนสมบูรณ์)ที่บ้านของท่าน และบรรดาคืนที่เหลือของเดือน” รายงานโดยบุคอรี มุสลิม อิหม่ามมาลิก อะบูดาวูด นาซาอี บัยฮากี อิบนุคุซัยมะห์ ดูรายละเอียดเพื่มเติมในกิตาบมัจมัวะของท่านอิหม่ามนะวะวี หน้าที่ 37 เล่มที่ 4 ...
ชี้แจง
ผมได้ไปตรวจดูข้อมูลที่เป็นภาษาอาหรับจากหนังสือ “อัล-มัจญมั๊วะอฺ” ของท่านอิหม่ามนะวะวีย์ เล่มที่ 4 หน้า 30 (ไม่ใช่ 37) ดังข้อความที่ท่านนำมาอ้างข้างต้นที่ว่า
ِلأَنَّ النَّبِىَّ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ صَلَّى لَيَالِىَ، فَصَلَّوْهَا مَعَهُ، ثُمَّ تَأَخَّرَ وَصَلَّى فِىْ بَيْتِهِ بَاقِىَ الشُّهُوْرِ ...
.. แล้ว ปรากฏว่า ข้อความเหล่านั้นเป็นเพียงคำพูดของท่านอัช-ชัยรอซีย์ในหนังสือ “อัล-มุฮัซซับ” .. ไม่ใช่เป็นหะดีษของท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมแต่อย่างใด และท่านอัช-ชัยรอซีย์ก็ไม่ได้อ้างเลยว่าข้อความดังกล่าวนี้เป็นสำนวนของหะดีษจากการบันทึกของท่านบุคอรีย์, ท่านมุสลิม, ท่านอิหม่ามมาลิก ฯลฯ ดังการอ้างของพวกท่าน ...
และคำอธิบายของพวกท่านต่อมาที่ว่า .. และท่าน(นบีย์)ก็ได้กลับไปละหมาด(จนสมบูรณ์)ที่บ้านของท่าน .. ก็เป็นคำอธิบายที่ผิดพลาดจากข้อเท็จจริงจากเจตนารมณ์ของท่านอัช-ชัยรอซีย์ ดังจะได้อธิบายต่อไป ...
ก่อนอื่นผมขออธิบายให้ท่านผู้อ่านรับทราบเสียก่อนว่า หนังสือ “อัล-มัจญมั๊วะอฺ” ของท่านอิหม่ามนะวะวีย์ เป็นหนังสืออธิบายตำรา “อัล-มุฮัซซับ” ของท่านอัช-ชัยรอซีย์อีกทีหนึ่ง ...
ทุกครั้งที่มีการอ้างถึงคำพูดของท่านอัช-ชัยรอซีย์ ท่านอิม่ามนะวะวีย์ก็จะกล่าวว่า قَالَ الْمُصَنِّفُ رَحِمَهُ اللهُ .. คือ “ท่านผู้เรียบเรียง (ขออัลลอฮ์ได้โปรดเมตตาต่อท่านด้วย) กล่าวว่า ...” ซึ่งท่านผู้เรียบเรียงในที่นี้ก็หมายถึงท่านอัช-ชัยรอซีย์นั่นเอง ...
ในตอนเริ่มต้นของเรื่องนมาซตะรอเวี๊ยะห์นี้ ท่านอัช-ชัยรอซีย์ได้อ้างหะดีษบทหนึ่งของท่านมุสลิมจากรายงานของท่านอบูฮุร็อยเราะฮ์ ร.ฎ... จากท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมที่กล่าวว่า .. ผู้ใดนมาซ(ยามค่ำคืน)ในเดือนรอมะฎอนโดยความศรัทธาและหวังผลบุญจากอัลลอฮ์ เขาก็จะถูกอภัยให้ในบาปที่ผ่านมา ...
แล้วท่านอัช-ชัยรอซีย์ก็อธิบายถึงความขัดแย้งในการทำนมาซตะรอเวี๊ยะห์ในเดือนรอมะฎอนว่า ...
وَاْلأَفْضَلُ أَنْ يُصَلِّيَهَا فِىْ جَمَاعَةٍ، نَصَّ عَلَيْهِ الْبُوَيْطِىُّ لِمَا رُوِىَ أَنَّ عُمَرَ رَضِىَ الله عَنْهُ جَمَعَ النَّاسَ عَلَى أُبَىِّ بْنِ كَعْبٍ، وَمِنْ أَصْحَابِنَا مَنْ قَالَ : فِعْلُهَا مُنْفَرِدًا أَفْضَلُ ِلأَنَّ النَّبِىَّ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ صَلَّى لَيَالِىَ، فَصَلَّوْهَا مَعَهُ ثُمَّ تَأَخَّرَ، وَصَلَّى فِىْ بَيْتِهِ بَاقِىَ الشُّهُوْرِ
“ที่ประเสริฐที่สุดก็คือ ให้ทำมันในลักษณะญะมาอะฮ์, ดังที่ท่านอัล-บุวัยฏีย์ได้ชี้ขาดเอาไว้, เนื่องจากมีรายงานจากท่านอุมัรฺว่า ท่านได้สั่งให้ประชาชนนมาซพร้อมกับท่านอุบัยย์ บินกะอฺบ์ ร.ฎ. แต่บางคนจากนักวิชาการมัษฮับของเรา (มัษฮับชาฟิอีย์) กล่าวว่า : การทำมันส่วนตัวจะประเสริฐกว่า, ทั้งนี้ เนื่องจากท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมเคยนมาซอยู่หลายคืนโดยพวกเขา(เศาะหาบะฮ์)ก็นมาซพร้อมท่านด้วย ต่อมาท่านก็ล่าถอย และทำนมาซในบ้านของท่านในส่วนที่ยังเหลือของเดือน .....”
คำพูดของท่านอัช-ชัยรอซีย์ข้างต้นมิใช่เป็นหะดีษ, และมิใช่กล่าวถึงเรื่องการกลับไปทำนมาซตะรอเวี๊ยะห์ต่อที่บ้านของท่านนบีย์ แต่เป็นการอ้างหลักฐานเพื่ออธิบายถึงความขัดแย้งระหว่างการทำนมาซตะรอเวี๊ยะห์ในลักษณะญะมาอะฮ์กับการทำส่วนตัวว่า อย่างไหนจะประเสริฐกว่ากัน ...
คำพูดของท่านอัช-ชัยรอซีย์ที่ว่า ثُمَّ تَأَخَّرَ .. (หลังจากนั้นท่านก็ล่าถอย) หมายถึงท่านนบีย์ยุติจากการออกมานมาซตะรอเวี๊ยะห์ในลักษณะญะมาอะฮ์พร้อมกับเศาะหาบะฮ์ในมัสญิดอีก แต่ท่านจะทำมันเป็นการส่วนตัวที่บ้านในส่วนที่เหลือของเดือน ..ซึ่งจุดนี้คือหลักฐานของผู้ที่กล่าวว่า การทำนมาซตะรอเวี๊ยะห์ส่วนตัวที่บ้าน ประเสริฐกว่าการทำนมาซตะรอเวี๊ยะห์ญะมาอะฮ์ที่มัสญิด ..
ไม่ใช่หมายความว่า “ท่านนบีย์กลับไปทำต่อที่บ้านจนสมบูรณ์ในแต่ละคืน” ..ดังคำอธิบายของพวกท่าน ...
(6). คำกล่าวที่ว่า .. สรุปว่าการละหมาดต้ารอเวี๊ยะนั้นมี 20 ร่อกาอัต ไม่ใช่จำนวน 8 ร่อกาอัต ดังนั้นการละหมาด 8 ร่อกาอัตจึงถือว่าไม่ใช่ละหมาดต้ารอเวี๊ยะ มันคือละหมาดสุนัตธรรมดาทั่วไปซึ่งสามารถละหมาดได้ทั้งปี ไม่ใช่เฉพาะเดือนร่อมาฎอนเท่านั้น ...
จากหลักฐานข้างต้นสรุปว่า ท่านนบีและซอฮาบะห์ต่างกลับไปทำจนสมบูรณ์ที่บ้านของตนเอง ผู้อธิบายอย่างชัดเจนคือท่านอุมัร บินคอตตอบ ได้ละหมาด 20 ร่อกาอัตพร้อมด้วยประชาชนทั้งหลายในมัสยิด ปรากฏว่ามีบรรดาซอฮาบะห์ต่างๆเช่นท่านอุสมาน อาลี ร่วมอยู่ด้วย ไม่มีท่านใดโต้แย้งในจำนวนร้อกาอัตดังกล่าว
(แล้วท่านคือใคร ที่ไปฮุก่มว่าละหมาดต้ารอเวี๊ยะนั้นทำ 8 ร่อกาอัตก็ได้)
ชี้แจง
คำกล่าวที่ว่า .. สรุปว่าการละหมาดต้ารอเวี๊ยะนั้น มี 20 ร่อกาอัต .. ก็ดี, และคำกล่าวที่ว่า .. ท่านนบีย์และเศาะหาบะฮ์ต่างกลับไปทำจนสมบูรณ์ที่บ้านของตนเอง .. ก็ดีท่านผู้อ่านก็รับทราบจากคำอธิบายที่ผ่านมาแล้วว่า ข้อความข้างต้นทั้ง 2 วรรคนี้ไม่ปรากฏมีบันทึกในตำราหะดีษที่ถูกต้องเล่มใดทั้งสิ้น ...
ตรงกันข้าม บันทึกที่ถูกต้อง(เศาะเหี๊ยะฮ์)จากท่านหญิงอาอิชะฮ์ ร.ฎ.ก็คือ การนมาซยามค่ำคืน ไม่ว่าจะในเดือนรอมะฎอน(ที่เรียกกันว่าตะรอเวี๊ยะฮ์) หรือมิใช่เดือนรอมะฎอน ท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะวัลลัมไม่เคยทำเกิน 11 ร็อกอะฮ์, และบรรดาเศาะหาบะฮ์ก็ทำพร้อมกับท่านจนเสร็จสิ้นที่มัสญิดทั้ง 3 คืน โดยไม่มีผู้ใดกลับไปทำต่อที่บ้านอีก เพราะถูกท่าน นบีย์ “ปราม” เอาไว้ .. ดังหะดีษของท่านอบูซัรฺร์ อัล-ฆิฟารีย์ที่ได้อธิบายผ่านมาแล้ว ...
หรือคำกล่าวที่ว่า .. ท่านอุมัรฺ อิบนุ้ลค็อฏฏบ ร.ฎ. ได้นมาซ 20 ร้อกอะฮ์พร้อมกับประชาชนทั้งหลายในมัสญิด .. ท่านผู้อ่านก็ทราบแล้วอีกเช่นกันว่า รายงานดังกล่าวนี้เป็นรายงานที่เฎาะอีฟ ...
ส่วนรายงานที่ถูกต้องนั้น ท่านอุมัรฺ อิบนุ้ลค็อฏฏอบ ร.ฎ.ได้สั่งให้ท่านอุบัยย์ บินกะอฺบ์และท่านตะมีม อัด-ดารีย์นำประชาชนนมาซ 11 ร้อกอะฮ์, และประชาชนในสมัยของท่านอุมัรฺ ก็ทำนมาซตะรอเวี๊ยะห์กันเพียง 11 ร็อกอะฮ์ ...
เพราะฉะนั้น คำกล่าวของพวกท่านที่ว่า .. แล้วท่านคือใคร ที่ไปฮุก่มว่าละหมาดต้ารอเวี๊ยะทำ 8 ร่อกาอัตก็ได้ .. ผมจึงไม่ถือสา เพราะมองว่าเป็นการพูดจากอารมณ์ มิใช่พูดจากหลักการหรือวิชาการ ...
ตรงกันข้าม ผมกลับสงสารพวกท่านมากกว่า เพราะพวกท่านกำลัง “ล่วงเกิน” ท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมโดยไม่รู้ตัว ...
เพราะสมมุติถ้าใครกล่าวย้อนถามพวกท่านบ้างว่า .. “ก็แล้วพวกท่านเป็นใคร จึงกล้ากล่าวหาการนมาซในเดือนรอมะฎอน 11 ร็อกอะฮ์ “เหมือนที่ท่านนบีย์ทำ” ว่าเป็นเพียงนมาซสุนัตมุฏลัก มิใช่นมาซตะรอเวี๊ยะห์? “ .. แล้วท่านจะตอบว่าอย่างไร ? ...
ก็อยากให้พวกท่านได้รับทราบมุมมองของนักวิชาการบางท่านที่กล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้เอาไว้บ้างดังนี้ ...
1. ท่านอัส-สะยูฎีย์ได้บันทึกในหนังสือ “อัล-มะศอเบี๊ยะห์ ฟี ศ่อลาติตตะรอเวี๊ยะฮ์” (เล่มที่ 1 หน้า 542 จากหนังสือ “อัล- หาวีย์ ลิ้ลฟะตาวีย์”) ว่า ...
وَقَالَ الْجُوْرِىُّ _ مِنْ أَصْحَابِنَا _ عَنْ مَالِكٍ أَنَّهُ قَالَ : اَلَّذِىْ جَمَعَ عَلَيْهِ النَّاسَ عُمَرُ بْنُ الْخَطَّابِ أَحَبُّ إِلَىَّ، وَهِىَ إِحْدَى عَشْرَةَ رَكْعَةً! وَهِىَ صَلاَةُ رَسُوْلِ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ، قِيْلَ لَهُ : إِحْدَى عَشْرَةَ رَكْعَةً مَعَ الْوِتْرِ؟ قَالَ : نَعَمْ، وَثَلاَثَ عَشْرَةَ قَرِيْبٌ، قَالَ : وَلاَ أَدْرِىْ مِنْ أَيْنَ أُحْدِثَ هَذَاالرُّكُوْعُ الْكَثِيْرُ؟ ...
ท่านอัล-ญูรีย์ซึ่งเป็นนักวิชาการมัษฮับของเราท่านหนึ่งกล่าวรายงานมาจากท่านอิหม่ามมาลิกว่า .. “สิ่งซึ่งท่านอุมัรฺ อิบนุ้ลค็อฏฏอบ ร.ฎ.ได้ให้ประชาชนกระทำร่วมกันเป็นสิ่งที่ฉันชอบที่สุด นั่นคือ 11 ร็อกอะฮ์! และนั่นก็เป็นนมาซของท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม, มีบางคนกล่าวถามท่านว่า .. 11 ร็อกอะฮ์พร้อมกับวิตรี่ด้วยใช่ไหม? .. ท่านตอบว่า ใช่, และ 13 ร็อกอะฮ์ก็ใกล้เคียงกัน, (ท่านอิหม่ามมาลิกกล่าวต่อไปว่า) .. “ฉันไม่รู้เลยว่า จำนวนร็อกอะฮ์อันมากมายเหล่านี้ มันมาจากไหน?” ...
ขนาดท่านอิหม่ามมาลิกซึ่งถือว่าเป็นคนในยุคแรกๆยังไม่ทราบเลยว่า จำนวนร็อกอะฮ์ของนมาซตะรอเวี๊ยะห์ที่ทำกัน 36 ร็อกอะฮ์บ้าง, 23 ร็อกอะฮ์บ้างนั้นใครคือผู้ริเริ่มขึ้นมา แล้วพวกเราในยุคหลังๆนี้จะไปฟันธงได้อย่างไรว่า เป็นการกระทำของท่านนบีย์หรือของท่านอุมัรฺ ? ...
2. ท่านอิบนุลอะรอบีย์ ได้กล่าวในหนังสือ “ชัรฺหุ อัต-ติรฺมีซีย์” ของท่าน เล่มที่ 4 หน้า 19 ว่า ...
وَالصَّحِيْحُ : أَنْ يُصَلَّى إِحْدَى عَشْرَةَ رَكْعَةً، صَلاَةُ النَّبِىِّ عَلَيْهِ السَّلاَمُ وَقِيَامُهُ، فَأَمَّا غَيْرُذَلِكَ مِنَ اْلأَعْدَادِ فَلاَ أَصْلَ لَهُ وَلاَ حَدَّ فِيْهِ، فَإِذَا لَمْ يَكُنْ بُدَّ مِنَ الْحَدِّ فَمَا كَانَ النَّبِىُّ عَلَيْهِ السَّلاَمُ يُصَلِّىْ، مَا زَادَ النَّبِىُّ عَلَيْهِ السَّلاَمُ فِىْ رَمَضَانَ وَلاَ فِىْ غَيْرِهِ عَلَى إِحْدَى عَشْرَةَ رَكْعَةً، وَهَذِهِ الصَّلاَةُ هِىَ قِيَامُ اللَّيْلِ، فَوَجَبَ أَنْ يُقْتَدَى فِيْهَا بِالنَّبِىِّ عَلَيْهِ السَّلاَمُ ...
“ที่ถูกต้องนั้น ให้ทำนมาซ(ในเดือนรอมะฎอน) 11 ร็อกอะฮ์, ซึ่งเป็นนมาซของท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม, อนึ่งจำนวน(ร็อกอะฮ์)ที่อื่นจากนี้ ถือเป็นสิ่งที่ไม่มีพื้นฐานใดๆและไม่มีการกำหนดใดๆในเรื่องนี้ เพราะหากจำเป็นจะต้องมีการกำหนดกันแล้วก็ต้องยึดถือการนมาซของท่านนบีย์เป็นหลัก (นั่นคือ) ท่านนบีย์จะไม่เคยนมาซ – ไม่ว่าในเดือนรอมะฎอนหรือมิใช่รอมะฎอน -- เกินกว่า 11 ร็อกอะฮ์, และนมาซนี้คือนมาซในยามค่ำคืน ดังนั้นจึง “วาญิบ” จะต้องปฏิบัติตามในเรื่องนี้ต่อท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม” ...
(7). มีการอ้างหะดีษจากการบันทึกของท่านอิบนุอบีย์ชัยบะฮ์ และท่านอับดุ บินหุมัยด์, จากท่านอิบนุอับบาส ร.ฎ.ที่กล่าวว่า ...
إِنَّ رَسُوْلَ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ كَانَ يُصَلِّى فِىْ رَمَضَانَ عِشْرِيْنَ رَكْعَةً وَالْوِتْرَ
“แท้จริง ท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะวัลลัมทำนมาซในเดือนรอมะฎอน 20 ร็อกอะฮ์และนมาซวิตรี่” ...
แล้วมีการระบุสายรายงานหะดีษนี้ว่า จากท่านอิบนุอบีย์ชัยบะฮ์, จากท่านยะซีด บินฮารูน, จากท่านอิบรอฮีม บินอุษมาน, จากท่านอัล-หะกัม, จากท่านมิกซัม, จากท่านอับดุลลอฮ์ อิบนุอับบาส ร.ฎ. ...
ชี้แจง
หะดีษนี้บันทึกโดยท่านอิบนุอบีย์ชัยบะฮ์ในหนังสือ “อัล-มุศ็อนนัฟ” เล่มที่ 2 หน้า 286, ท่านอับด์ บินหุมัยด์ในหนังสือ “อัล-มุนตะค็อบ มินัลมุสนัด” เล่มที่ 2 หน้า 43, ท่านอัล-คอฏีบในหนังสือ “อัล-มุวัฎฎิห์” เล่มที่ 1 หน้า 219, ท่านอัล-บัยฮะกีย์ในหนังสือ “อัส-สุนัน อัล-กุบรออ์” เล่มที่ 2 หน้า 496 และท่านอื่นๆ โดยบันทึกทั้งหมดต่างอ้างรายงานมาจากบุคคลคนเดียวกัน คือท่านอิบรอฮีม บินอุษมาน ...
หะดีษบทนี้เป็นหะดีษเฎาะอีฟ ดังคำกล่าวของท่านอิบนุหะญัรฺ อัล-อัสเกาะลานีย์ตามที่ผมระบุมาแล้วในตอนต้น ซึ่งผมขออธิบายเพิ่มเติมอีกนิดหนึ่งว่า การเฎาะอีฟของหะดีษบทนี้มิใช่เฎาะอีฟระดับธรรมดา แต่ถือว่า ضَعِيْفٌ جِدًّا คือ เฎาะอีฟมาก! ดังคำกล่าวของท่านอัส-สะยูฎีย์ในหนังสือ “อัล-มะศอเบี๊ยะห์ฯ” เล่มที่ 1 หน้า 537 จากหนังสือ “อัล-หาวีย์ ลิ้ลฟะตาวีย์” ของท่าน ...
จุดบกพร่องของหะดีษบทนี้ก็คือท่าน “อิบรอฮีม บินอุษมาน” เพราะท่านผู้นี้เป็นผู้รายงานหะดีษที่ขาดความน่าเชื่อถือเป็นอย่างมาก ...
ท่านยะห์ยา บินมะอีนกล่าวว่า لَيْسَ بِثِقَةٍ (เขาเชื่อถือไม่ได้) ...
ท่านอิหม่ามอะห์มัดกล่าวว่า ضَعِيْفٌ (เขาอ่อนด้อยเรื่องหะดีษ) ...
ท่านอัน-นะซาอีย์กล่าวว่า مَتْرُوْكُ الْحَدِيْثِ (เขาเป็นผู้รายงานหะดีษที่ถูกเมิน) ...
ท่านอิหม่ามบุคอรีย์กล่าวว่า سَكَتُوْا عَنْهُ : บรรดานักวิชาการหะดีษต่างเงียบ(คือไม่สนใจ) เขา ...
(จากหนังสือ “มีซาน อัล-เอี๊ยะอฺติดาล” ของท่านอัษ-ษะฮะบีย์ เล่มที่ 1 หน้า 48)
คำกล่าววิจารณ์ของท่านบุคอรีย์ข้างต้นนี้ ได้รับการอธิบายจากท่านอิบนุกะษีรฺในหนังสือ “อิคติศ็อรฺ อุลูมิ้ลหะดีษ” ว่า ...
إِنَّ الْبُخَارِىَّ إِذَا قَالَ فِى الرَّجُلِ : سَكَتُوْا عَنْهُ، أَوْ : فِيْهِ نَظَرٌ، فَإِنَّهُ يَكُوْنُ فِىْ أَدْنَى الْمَنَازِلِ وَأَرْدَئِهَا عِنْدَهُ، وَلَكِنَّهُ لَطِيْفٌ الْعِبَارَةِ فِى التَّجْرِيْحِ ...
“ท่านบุคอรีย์นั้น เมื่อท่านกล่าววิจารณ์บุคคลใดว่า سَكَتُوْاعَنْهُ (บรรดานักวิชาการต่างเงียบจากตัวเขา) หรือกล่าวว่า فِيْهِ نَظَرٌ (ในตัวเขามีสิ่งจะต้องพิจารณา) แสดงว่าบุคคลนั้นอยู่ในระดับต่ำสุดหรือแย่ที่สุดสำหรับท่าน เพียงแต่ว่าท่านเป็นคนนิ่มในการใช้สำนวนการตำหนิเท่านั้น” ...
(จากหนังสือ “อัล-บาอิษ อัล-หะษีษ” ของท่านอะห์มัด มุหัมมัดชากิรฺ หน้า 106)
(8). ส่วนข้ออ้างที่ว่า มัษฮับหะนะฟีย์, มัษฮับชาฟิอีย์, มัษฮับหัมบะลีย์ ทำนมาซตะรอเวี๊ยะห์ 20 ร็อกอะฮ์ และมัษฮับมาลิกีย์ทำนมาซตะรอเวี๊ยะห์ 36 ร็อกอะฮ์ นั้น ...
ข้อมูลนี้ไม่ได้ขัดแย้งอันใดกับสิ่งที่ผมกล่าวมาข้างต้น เพราะเป็นสิ่งที่ผมรับทราบมานานแล้ว และผมก็มิได้กล่าวเลยว่า การทำนมาซตะรอเวี๊ยะห์เกินกว่า 11 ร็อกอะฮ์ทำไม่ได้ ...
แต่สิ่งที่ผมกล่าวก็คือ การทำนมาซตะรอเวี๊ยะห์ 20 หรือ 23 กรือ 36 ร็อกอะฮ์ ไม่ใช่ซุนนะฮ์ ...
สรุปแล้วในเรื่องการนมาซตะรอเวี๊ยะห์นั้น ที่ถูกต้องตามซุนนะฮ์ก็คือให้ปฏิบัติ 11 ร็อกอะฮ์ ดังการปฏิบัติของท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม, ดังคำสั่งของท่านอุมัรฺ และดังการปฏิบัติของประชาชนในสมัยของท่านอุมัรฺ ร.ฎ. ...
ส่วนการกระทำนมาซตะรอเวี๊ยะห์ 20 ร็อกอะฮ์นั้น ไม่ปรากฏมีหลักฐานที่ถูกต้องแท้แต่บทเดียวมายืนยันไว้ .. ดังที่ได้อธิบายผ่านมาแล้ว ...
เท่าที่ได้กล่าวมาทั้งหมดนี้ ผมเพียงแต่ต้องการชี้แจงข้อเท็จจริงของหลักฐานที่พวกท่านนำมาอ้างอิงเท่านั้นว่า เชื่อถือได้หรือไม่? .. มิได้หมายความว่า ผมจะห้ามพวกท่านหรือผู้ใดจากการทำนมาซตะรอเวี๊ยะห์ 20 ร็อกอะฮ์, หรือกล่าวว่า การนมาซตะรอเวี๊ยะห์ 20 ร็อกอะฮ์เป็นบิดอะฮ์ ..(ดังคำกล่าวของท่านอัศ-ศ็อนอานีย์ในหนังสือ “สุบุลุสสลาม” เล่มที่ 2 หน้า 11) ...
เพราะเท่าที่ได้ตรวจสอบดูหลักฐานอย่างละเอียดแล้ว ผมก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า การนมาซตะรอเวี๊ยะห์ 20 ร็อกอะฮ์นั้น มีแนวโน้มว่ามีเคยการปฏิบัติกันมาตั้งแต่ยุคแรกๆหลังจากยุคท่านอุมัรฺจริง เพียงแต่ยังไม่มีหลักฐานชัดเจนว่า “ใครคือผู้ริเริ่มมัน, และริเริ่มตั้งแต่เมื่อไร?” .. ดังคำกล่าวของท่านอิหม่ามมาลิกที่ผ่านมาแล้ว ...
จุดขัดแย้งที่แท้จริงในเรื่องการนมาซตะรอเวี๊ยะห์จึงน่าจะอยู่ที่ว่า “การทำ 11 ร็อกอะฮ์กับการทำ 23 ร็อกอะฮ์ อย่างไหนจะได้รับผลบุญมากกว่ากัน” ...
ในทัศนะส่วนตัวของผม มองว่า การทำนมาซตะรอเวี๊ยะห์ 11 ร็อกอะฮ์ได้รับผลบุญมากกว่าการทำ 23 ร็อกอะฮ์ ...
เหตุผล? .. ก็เพราะการทำ 11 ร็อกอะฮ์ เป็นการปฏิบัติตาม “ซุนนะฮ์” ของท่าน นบีย์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะวัลลัม ...
ส่วนการทำ 23 ร็อกอะฮ์ ยังไม่แน่ชัดว่าเป็นการปฏิบัติตามซุนนะฮ์ของใคร หรือผู้ริเริ่มคือใคร? .. แม้จะมีบางรายงานที่พอจะเชื่อถือได้ระบุว่า มีเศาะหาบะฮ์และตาบิอีนในยุคหลังจากท่านอุมัรฺ (บางกลุ่ม) ทำนมาซตะรอเวี๊ยะห์ 23 ร็อกอะฮ์กันจริงก็ตาม ...
ท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะวัลลัมเคยกล่าวไว้ในคุฏบะฮ์ฮาญะฮ์ว่า ...
وَخَيْرُ الْهَدْىِ هَدْىُ مُحَمَّدٍ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ
“ทางนำที่ดีเลิศที่สุด ก็คือทางนำของ(ท่านนบีย์)มุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะวัลลัม” ...
เพราะฉะนั้น หากผู้ใดเห็นว่า แนวปฏิบัติของเศาะหาบะฮ์หรือตาบิอีน ประเสริฐกว่า “ทางนำ” ของท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะวัลลัมในเรื่องนี้ ผมถือว่าเป็นสิทธิส่วนบุคคลที่ใครๆก็ไม่มีสิทธิไปห้ามปรามหรือขัดขวางได้ ...
บางท่านอาจจะโต้แย้งว่า การทำนมาซ 11 ร็อกอะฮ์ซึ่งปริมาณร็อกอะฮ์น้อยกว่าจะได้บุญมากกว่าทำ 23 ร็อกอะฮ์ซึ่งปริมาณร็อกอะฮ์มากกว่าได้อย่างไร ? ...
ผมขอเรียนชี้แจงว่า ปริมาณร็อกอะฮ์น้อยหรือมาก ไม่ใช่เรื่องสำคัญ!..สำคัญอยู่ที่ว่า อย่างไหนจะถูกต้องซุนนะฮ์มากกว่ากัน ...
ผมมีตัวอย่างเปรียบเทียบในเรื่องนี้กับเรื่องของการนมาซเวลาเดินทางซึ่งตามซุนนะฮ์แล้ว ผู้อ่านทุกท่านย่อมรู้ดีว่าจะต้องทำย่อเพียง 2 ร็อกอะฮ์ ไม่ใช่ทำครบ 4 ร็อกอะฮ์!
ท่านอิบนุอบีย์ชัยบะฮ์ได้บันทึกในหนังสือ “อัล-มุศ็อนนัฟ” เล่มที่ 2 หน้า 338โดยรายงานจากท่านมุญาฮิด ซึ่งกล่าวว่า ...
جَاءَ رَجُلٌ إِلَى ابْنِ عَبَّاسٍ فَقَالَ : إِنِّىْ وَصَاحِبٌ لِىْ كُنَّا فِىْ سَفَرٍ، فَكُنْتُ أُتِمُّ وَكَانَ صَاحِبِىْ يَقْصُرُ، فَقَالَ لَهُ ابْنُ عَبَّاسٍ : بَلْ أَنْتَ الَّذِىْ كُنْتَ تَقْصُرُ وَصَاحِبُكَ الَّذِىْ كَانَ يُتِمُّ
“ชายผู้หนึ่งได้ไปหาท่านอิบนุอับบาส ร.ฎ.แล้วกล่าวว่า .. ฉันกับเพื่อนของฉันคนหนึ่ง ครั้งหนึ่งอยู่ระหว่างการเดินทางด้วยกัน ฉัน(นมาซ)สมบูรณ์แบบ (คือทำ 4 ร็อกอะฮ์) ส่วนเพื่อนของฉัน(นมาซ)บกพร่อง (คือทำเพียง 2 ร็อกอะฮ์) ท่านอิบนุอับบาส ร.ฎ.จึงกล่าวแก่เขาว่า “ไม่หรอก ! ท่านนั่นแหละคือผู้ที่บกพร่อง, ส่วนเพื่อนของท่านคือผู้ที่สมบูรณ์แบบ” ...
คำพูดของท่านอิบนุอับบาส ร.ฎ.ดังกล่าวนี้บ่งบอกความหมายว่า ผู้ที่นมาซในขณะเดินทาง 2 ร็อกอะฮ์ แม้จำนวนร็อกอะฮ์จะน้อยกว่า แต่ก็ถิอว่าสมบูรณ์แบบกว่า, ถูกต้องกว่า, และได้รับผลบุญมากกว่าผู้ที่นมาซ 4 ร็อกอะฮ์ เพราะเป็นการปฏิบัติที่สอดคล้องกับซุนนะฮ์ของท่านรอซู้ลลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ...
ก็ขอฝากคำพูดของท่านอิบนุอับบาส ร.ฎ.ไว้ให้ทุกท่านขบคิดเป็นการบ้านเอาเองก็แล้วกันว่า ผู้ที่ปฏิบัติตามซุนนะฮ์กับผู้ที่ไม่ปฏิบัติตามซุนนะฮ์ ใครคือผู้ที่สมบูรณ์แบบและใครคือผู้ที่บกพร่อง ...
วัลลอฮุ อะอฺลัม
ภาคผนวก
หลังจากที่ได้เขียนชี้แจงหลักฐานการนมาซตะรอเวี๊ยะห์ข้างต้นจบลงไม่กี่วัน มิตรสหายทางกรุงเทพท่านหนึ่งก็ได้ส่งอี-เมล์ข้อความจากเว็บไซด์ของท่านเช็คมุนัจญิด ซึ่งมีชื่อเว็บฯว่า “www. Islamic. Qa/” มาให้ผมช่วยตรวจสอบอีกรายหนึ่ง ...
ท่านเช็คมุนัจญิดได้ชี้แจงในเว็บฯ ดังกล่าวซึ่งสรุปว่า การนมาซตะรอเวี๊ยะห์ 20 ร็อกอะฮ์ มีรายงานที่ถูกต้องมาจาก “คำสั่ง” ของท่านอุมัรฺ อิบนุ้ลค็อฏฏอบ ร.ฎ. ...
ท่านเช็คมุนัจญิดกล่าวว่า ...
جَاءَ اْلأَمْرُ عَنْ عُمَرَ بْنِ الْخَطَّابِ رَضِىَ اللهُ عَنْهُ بِصَلاَةِ الْعِشْرِيْنَ رَكْعَةً عَنْ أَرْبَعَةٍ مِنَ التَّابِعِيْنَ
“มี คำสั่ง มาจากท่านอุมัรฺ อิบนุ้ลค็อฏฏอบ ร.ฎ. ให้ทำนมาซ(ตะรอเวี๊ยะห์) 20 ร็อกอะฮ์ (โดยรายงานมา)จากตาบิอีน 4 ท่าน .......”
ตาบิอีนทั้ง 4 ท่านที่ท่านเช็คมุนัจญิดอ้างถึง คือ ...
1. ท่านอัซ-ซาอิบ บินยะซีด (สิ้นชีวิตปีฮ.ศ. 91)
2. ท่านยะซีด บินรูมาน (สิ้นชีวิตปีฮ.ศ. 130)
3. ท่านยะห์ยา บินสะอีด อัล-ก็อฏฏอน (สิ้นชีวิตปีฮ.ศ. 198)
4. ท่านอับดุลอะซีซ บินรุฟัยอฺ (สิ้นชีวิตปีฮ.ศ. 130) ...
(และจาก “ตาบิอีน” 4 ท่านดังที่อ้างข้างต้น ก็มีรายงานในเรื่องนี้มา “รวม 6 กระแส” ดังที่จะถึงต่อไป) ...
ชี้แจง
ก่อนอื่นก็ขอแก้ไขความเข้าใจผิดของท่านเช็คมุนัจญิดก่อนว่า ...
บุคคลแรก คือท่านอัซ-ซาอิบ บินยะซีด มิใช่เป็นตาบิอีน แต่เป็น “เศาะหาบะฮ์” ผู้เยาว์ท่านหนึ่ง, ถูกนำไปทำหัจญ์ในหัจญะตุ้ลวะดาอฺพร้อมกับท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมขณะอายุได้ 7 ขวบ, แล้วต่อมาท่านอุมัรฺ อิบนุ้ลค็อฏฏอบ ร.ฎ.ก็มอบหมายให้ท่านควบคุมตลาดในเมืองมะดีนะฮ์ทั้งหมด และถือว่าท่านเป็นเศาะหาบะฮ์คนสุดท้ายที่สิ้นชีวิตที่มะดีนะฮ์เมื่อปีฮ.ศ. 91 หรือก่อนหน้านั้นเล็กน้อย) ...
(จากหนังสือ “ตักรีบุตตะฮ์ซีบ” เล่มที่ 1 หน้า 283)
ส่วนบุคคลที่ 3 คือ ท่านยะห์ยา บินสะอีด อัล-ก็อฏฏอน ก็มิใช่เป็นตาบิอีน แต่เป็น “ศิษย์ของตาบิอีน” ระดับอาวุโส ...
ส่วนข้อเท็จจริงของรายงานทั้ง 6 กระแสที่ท่านเช็คมุนัจญิดอ้างว่าเป็น “คำสั่ง” ท่านอุมัรฺนั้น หลังจากตรวจสอบแล้วพบว่า ที่เป็นคำสั่งของท่านอุมัรฺจริงๆมีเพียง 2 กระแสเท่านั้น ...
ส่วนอีก 4 กระแสที่เหลือเป็นการอ้างรายงาน “การกระทำ” ของประชาชนในสมัยท่านอุมัรฺ ซึ่งก็ไม่มีรายงานใดระบุมาเลยว่าการทำนมาซตะรอเวี๊ยะห์ 20 ร็อกอะฮ์นั้น เป็นคำสั่งของท่านอุมัรฺ ...
ยิ่งไปกว่านั้น ทั้ง 6 กระแสดังกล่าว – ไม่ว่าจากคำสั่งหรือการกระทำ -- ไม่ปรากฏมีบทใดเลยที่ถือว่า “ถูกต้อง” ตามหลักวิชาการหะดีษ ...
ต่อไปนี้คือคำอธิบาย ...
(1). รายงานจากท่านอัซ-ซาอิบ บินยะซีด ร.ฎ.
ท่านเช็คมุนัจญิดได้อ้างรายงานเรื่อง “นมาซตะรอเวี๊ยะห์ 20 ร็อกอะฮ์” มาจากท่านอัซ-ซาอิบ บินยะซีด ร.ฎ. จาก 3 กระแสคือ ...
1. จากท่านมุหัมมัด บินยูซุฟ, จากท่านอัซ-ซาอิบ บินยะซีด ร.ฎ. (บันทึกโดยท่านอับดุรฺร็อซซากในหนังสือ “อัล-ศ็อนนัฟ” เล่มที่ 4 หน้า 260 หะดีษที่ 7730) ...
2. จากท่านยะซีด บินคุศ็อยฟะฮ์, จากท่านอัซ-ซาอิบ บินยะซีด ร.ฎ. (บันทึกโดยท่านอัล-บัยฮะกีย์ในหนังสือ “อัส-สุนัน” เล่มที่ 2 หน้า 496) ...
3. จากท่านอัล-หาริษ บินอับดุรฺเราะห์มาน บินอบีย์ษุบาบ, จากท่านอัซ-ซาอิบบินยะซีด ร.ฎ. (บันทึกโดยท่านอับดุรฺร็อซซากในหนังสือ “อัล-มุศ็อนนัฟ” เล่มที่ 4 หน้า 261) ...
วิเคราะห์กระแสที่ 1
ท่านอับดุรฺร็อซซาก บินฮุมาม (มีชีวิตระหว่างปี ฮ.ศ. 126-211) ได้รายงานมาจากท่านดาวูด บินก็อยซ์, จากท่านมุหัมมัด บินยูซุฟ, จากท่านอัซ-ซาอิบ บินยะซีด ร.ฎ. ว่า ...
إِنَّ عُمَرَ بْنَ الْخَطَّابِ رَضِىَ اللهُ عَنْهُ جَمَعَ النَّاسَ فِىْ رَمَضَانَ عَلَى أُبَىِّ بْنِ كَعْبٍ وَعَلَى تَمِيْمٍ الدَّارِىِّ عَلَى إِحْدَى وَعِشْرِيْنَ رَكْعَةً ...
“แท้จริงท่านอุมัรฺ อิบนุ้ลค็อฏฏอบ ร.ฎ. ได้รวบรวมประชาชนในเดือนรอมะฎอนให้นมาซตามท่านอุบัยย์ บินกะอฺบ์ และท่านตะมีม อัด-ดารีย์ 21 ร็อกอะฮ์”
(จากหนังสือ “อัล-มุศ็อนนัฟ” ของท่านอับดุรฺร็อซซาก เล่มที่ 4 หน้า 260 หรือหะดีษที่ 7730) ...
วิเคราะห์
รายงานนี้เป็นรายงานจาก “คำสั่ง” ของท่านอุมัรฺ อิบนุ้ลค็อฏฏอบ ร.ฎ. ...
แม้โดยพื้นฐาน ท่านอับดุรฺร็อซซากจะเป็นผู้ที่ได้รับความเชื่อถือในระดับสูง แต่ปรากฏว่าท่านตาบอดและ “ความจำเปลี่ยนแปลง” ในช่วงปลายของชีวิต ดังการบันทึกของท่านอิบนุหะญัรฺ อัล-อัสเกาะลานีย์ในหนังสือ “ตักรีบุตตะฮ์ซีบ” เล่มที่ 1 หน้า 505
นี่จึงเป็นจุดอ่อนหนึ่งของท่าน ...
และข้อความดังข้างต้นจากคำสั่งของท่านอุมัรฺที่ว่า “21 ร็อกอะฮ์” ก็เป็นท่านอับดุรฺร็อซซากเพียงผู้เดียวที่รายงานมาจากท่านอัซ-ซาอิบ ซึ่งขัดแย้งกับผู้รายงานท่านอื่นๆที่ได้รับความเชื่อถือในระดับสูงเช่นเดียวกันหรืออาจจะมากยิ่งกว่าท่านอับดุรฺร็อซซากคือ
1. ท่านอิหม่ามมาลิก บินอนัส (มีชีวิตระหว่างปี ฮ.ศ. 93-179)
2. ท่านสะอีด บินมันศูรฺ (สิ้นชีวิตปี ฮ.ศ. 227)
3. ท่านยะห์ยา บินสะอีด อัล-ก็อฏฏอน (มีชีวิตระหว่างปี ฮ.ศ.120-198) ...
ทั้ง 3 ท่านข้างต้นนี้ได้บันทึกรายงานมาจากท่านมุหัมมัด บินยูซุฟ, จากท่านอัซ-ซาอิบบินยะซีด ร.ฎ. เช่นเดียวกับท่านอับดุรฺร็อซซาก แต่มีข้อความสอดคล้องกันว่า ท่านอุมัรฺ อิบนุ้ลค็อฏฏอบ ร.ฎ. ได้ใช้ให้ท่านอุบัยย์ บินกะอฺบ์และท่านตะมีม อัด-ดารีย์ นำประชาชนนมาซ 11 ร็อกอะฮ์! ...
(จากหนังสือ “อัล-มุวัฏเฏาะอ์” เล่มที่ 1 หน้า 105 หรือหะดีษที่ 249 จากคำอธิบายของท่านอัซ-ซุรฺกอนีย์, หนังสือ “อัล-มะศอเบี๊ยะห์ ฟีศ่อลาติตตะรอเวี๊ยะห์” ซึ่งรวมชุดอยู่ในหนังสือ “อัล-หาวีย์ ลิ้ลฟะตาวีย์” เล่มที่ 1 หน้า 542, และหนังสือ “อัล-มุศ็อนนัฟ” ของท่านอิบนุอบีย์ชัยบะฮ์ เล่มที่ 2 หน้า 284 หรือหะดีษที่ 1 จากบทเรื่อง “ศ่อลาตุรอมะฎอน”) ...
รายงาน 21 ร็อกอะฮ์ ของท่านอับดุรฺร็อซซากจึงถือว่าเฎาะอีฟ เพราะเป็นรายงานที่ شَاذٌّ หรือผิดเพี้ยน .. ตามหลักวิชาการหะดีษ ...
วิเคราะห์กระแสที่ 2
ท่านอัล-บัยฮะกีย์ ได้บันทึกรายงานไปจนถึงท่านยะซีด บินคุศ็อยฟะฮ์, จากท่านอัซ-ซาอิบ บินยะซีด ร.ฎ. ว่า ...
كَانُوْا يَقُوْمُوْنَ عَلَىعَهْدِ عُمَرَ بْنِ الْخَطَّابِ رَضِىَ اللهُ عَنْهُ فِىْ شَهْرِ رَمَضَانَ بِعِشْرِيْنَ رَكْعَةً
“ประชาชนในสมัยของท่านอุมัรฺ อิบนุ้ลค็อฏฏอบ ร.ฎ.ได้ทำนมาซ(ตะรอเวี๊ยะห์) ในเดือนรอมะฎอน 20 ร็อกอะฮ์”
(บันทึกโดย ท่านอัลบัยฮะกีย์ในหนังสือ “อัส-สุนัน อัล-กุบรออ์” เล่มที่ 2 หน้า 496 และท่านอิบนุลญุอฺดิ ในหนังสือ “อัล-มุสนัด” เล่มที่ 1 หน้า 413) ...
วิเคราะห์
รายงานกระแสนี้เป็นรายงาน “การกระทำ” ของประชาชนในสมัยของท่านอุมัรฺ มิใช่เป็นรายงานจาก “คำสั่ง” ของท่านอุมัรฺ .. ดังข้ออ้างของท่านเช็คมุนัจญิด ...
และรายงานกระแสนี้ก็เป็นรายงานที่ شَاذٌّ หรือผิดเพี้ยน เช่นเดียวกับกระแสที่ 1 ดังที่ผมได้วิเคราะห์ผ่านมาแล้วจากหน้า 20-21 จึงไม่ขอวิเคราะห์ซ้ำอีก ณ ที่นี้ ...
วิเคราะห์กระแสที่ 3
ท่านอับดุรฺร็อซซาก ได้บันทึกรายงานมาจากท่านอัล-หาริษ บินอับดุรฺเราะห์มาน บินอบีย์ษุบาบ, จากท่านอัซ-ซาอิบ บินยะซีด ร.ฎ. ว่า ...
كَانَ القِّيَامُ عَلَى عَهْدِ عُمَرَ بِثَلاَثٍ وَعِشْرِيْنَ رَكْعَةً
“ปรากฏว่า การยืน(นมาซตะรอเวี๊ยะห์)ในสมัยของท่านอุมัรฺ มี 23 ร็อกอะฮ์”
(จากหนังสือ “อัล-มุศ็อนนัฟ” ของท่านอับดุรฺร็อซซาก เล่มที่ 4 หน้า 261)
วิเคราะห์
สายรายงานข้างต้นนี้เป็นสายรายงานที่เฎาะอีฟ เพราะท่านอัล-หาริษ บินอับดุรฺเราะห์มาน มีความบกพร่องด้านความทรงจำ ...
ท่านอิบนุหะญัรฺ อัล-อัสเกาะลานีย์ ได้สรุปคุณสมบัติของท่านอัล-หาริษ บินอับดุรฺเราะห์มานผู้นี้ ไว้ในหนังสือ “ตักรีบุตตะฮ์ซีบ” เล่มที่ 1 หน้า 142 ว่า ...
(( صَدُوْقٌ، يَهِمُ ))
“พอจะเชื่อถือได้, มีความพลั้งเผลอบ่อย”
นอกจากนั้น รายงานของท่านอัล-หาริษ, จากท่านอัซ-ซาอิบ บินยะซีด ร.ฎ.บทนี้ก็ยังขัดแย้งกับรายงานของท่านมุหัมมัด บินยูซุฟ, ซึ่งรายงานจากท่านอัซ-ซาอิบ บินยะซีด ร.ฎ.เช่นเดียวกัน .. (แต่ท่านมุหัมมัด บินยูซุฟ ได้รับความเชื่อถือจากนักวิชาการมากกว่าท่านอัล-หาริษ บินอับดุรฺเราะห์มานมาก) ..ว่า “พวกเราได้นมาซตะรอเวี๊ยะห์กันในสมัยของท่านอุมัรฺ 11 ร็อกอะฮ์” .. ดังที่อธิบายผ่านมาแล้วในหน้า 20 ...
สรุปแล้ว เรื่อง ’“การนมาซตะรอเวี๊ยะห์ 20 ร็อกอะฮ์” จากรายงานของท่านอัซ-ซาอิบ บินยะซีด ร.ฎ. ที่อ้างว่าเป็นคำสั่งของท่านอุมัรฺ, หรืออ้างว่าเป็นการกระทำของประชาชนในสมัยท่านอุมัรฺ จึงไม่มีรายงานใดที่ถูกต้องเลยแม้แต่บทเดียว ...
(2). รายงานจากท่านยะซีด บินรูมาน
ท่านอิหม่ามมาลิก ได้บันทึกรายงานจากท่านยะซีด บินรูมาน ว่า ...
كَانَ النَّاسُ يَقُوْمُوْنَ فِىْ زَمَنِ عُمَرَ بْنِ الْخَطَّابِ فِىْ رَمَضَانَ بِثَلاَثٍ وَعِشْرِيْنَ رَكْعَةً
“ประชาชนในสมัยของท่านอุมัรฺ อิบนุ้ลค็อฏฏอบ ร.ฎ.ได้ทำนมาซ(ตะรอเวี๊ยะห์)ในเดือนรอมะฎอน 23 ร็อกอะฮ์”
(บันทึกโดยท่านอิหม่ามมาลิกในหนังสือ “อัล-มุวัฏเฏาะอ์” เล่มที่ 1 หน้า 105, และท่านอัล-บัยฮะกีย์ในหนังสือ “อัส-สุนัน อัล-กุบรออ์” เล่มที่ 2 หน้า 496) ...
วิเคราะห์
นี่คือรายงาน “การกระทำ” ของประชาชนในสมัยท่านอุมัรฺ มิใช่เป็นรายงาน “คำสั่ง” ของท่านอุมัรฺที่ใช้ให้ประชาชนทำนมาซ 23 ร็อกอะฮ์ ...
และรายงานนี้ก็เป็นรายงานที่เฎาะอีฟเพราะสายรายงานขาดตอน .. ดังที่ได้อธิบายผ่านมาแล้วจากหน้า 19 ...
(3) รายงานจากท่านยะห์ยา บินสะอีด อัล-ก็อฏฏอน
ท่านอิบนุอบีย์ชัยบะฮ์ได้บันทึกรายงานจากท่านยะห์ยาบินสะอีด อัล-ก็อฏฏอนซึ่งกล่าวว่า ...
إِنَّ عُمَرَ بْنَ الْخَطَّابِ أَمَرَ رَجُلاً يُصَلِّىْ بِهِمْ عِشْرِيْنَ رَكْعَةً
“แท้จริง ท่านอุมัรฺได้ใช้ให้บุคคลผู้หนึ่งนำประชาชนนมาซ 20 ร็อกอะฮ์” ...
(จากหนังสือ “อัล-มุศ็อนนัฟ” ของท่านอิบนุอบีย์ชัยบะฮ์ เล่มที่ 2 หน้า 285)
วิเคราะห์
รายงานนี้ แม้จะอ้างว่าเป็น “คำสั่ง” ของท่านอุมัรฺ แต่ก็เป็นรายงานที่เฎาะอีฟเช่นเดียวกัน เพราะสายรายงานขาดตอนยิ่งกว่ากระแสของท่านยะซีด บินรูมานเสียอีก ...
ท่านอุมัรฺ อิบนุ้ลค็อฏฏอบ ร.ฎ. สิ้นชีวิตเมื่อปี ฮ.ศ. 23 และท่านยะห์ยา บินสะอีด อัล-ก็อฏฏอนก็เกิดหลังจากการตายของท่านอุมัรฺเกือบ 100 ปี คือเกิดเมื่อปี ฮ.ศ. 120 และสิ้นชีวิตเมื่อปี ฮ.ศ. 198 รวมอายุได้ 78 ปี ...
นอกจากนั้น รายงานดังข้างต้นนี้ยังขัดแย้งกับรายงานที่ถูกต้องและต่อเนื่องของท่านยะห์ยา บินสะอีด อัล-ก็อฏฏอนเอง ที่กล่าวว่า ท่านอุมัรฺ อิบนุ้ลค็อฏฏอบ ร.ฎ.ได้สั่งให้ท่านอุบัยย์ บินกะอฺบ์ นำประชาชนนมาซตะรอเวี๊ยะห์ 11 ร็อกอะฮ์ ดังที่จะถึงต่อไป ...
(4). รายงานจากท่านอับดุลอะซีซ บินรุฟัยอฺ
ท่านอิบนุอบีย์ชัยบะฮ์ ได้รายงานมาจากท่านอับดุลอะซีซ บินรุฟัยอฺว่า ...
كَانَ أُبَىُّ بْنُ كَعْبٍ يُصَلِّىْ بِالنَّاسِ فِىْ رَمَضَانَ بِالْمَدِيْنَةِ عِشْرِيْنَ رَكْعَةً، وَيُوْتِرُ بِثَلاَثٍ ...
“ท่านอุบัยย์ บินกะอฺบ์ ได้นำประชาชนนมาซในเดือนรอมะฎอนที่มะดีนะฮ์ 20 ร็อกอะฮ์ และทำวิตรี่อีก 3 ร็อกอะฮ์” ...
(บันทึกโดย ท่านอิบนุอบีย์ชัยบะฮ์ในหนังสือ “อัล-มุศ็อนนัฟ” เล่มที่ 2 หน้า 285) ...
วิเคราะห์
รายงานนี้เป็นรายงานจากการกระทำของท่านอุบัยย์ โดยไม่มีข้อความใดระบุว่า เป็น “คำสั่ง” ของท่านอุมัรฺ ร.ฎ. ...
รายงานนี้มีจุดบกพร่อง 2 ประการคือ ...
1 สายรายงานขาดตอน เพราะท่านอุบัยย์ บินกะอฺบ์ สิ้นชีวิตประมาณปี ฮ.ศ. 19 หรือ 32 ขณะที่ท่านอับดุลอะซีซ บินรุฟัยอฺ เกิดประมาณปี ฮ.ศ. 60 และสิ้นชีวิตปีฮ.ศ. 130 ขณะอายุได้ 70 ปีกว่าๆ ...
หมายเหตุ
ข้อความในหนังสือ “ตักรีบุตตะฮ์ซีบ” ของท่านอิบนุหะญัรฺ อัล-อัสเกาะลานีย์เล่มที่ 1 หน้า 509 ที่ว่า ท่านอับดุลอะซีซ บินรุฟัยอฺสิ้นชีวิตปี ฮ.ศ.103 นั้น คลาดเคลื่อน ..
ที่ถูกต้องก็คือ ท่านอับดุลอะซีซ บินรุฟัยอฺสิ้นชีวิตในปีฮ.ศ. 130 .. ดังการบันทึกของท่านอัษ-ษะฮะบีย์ในหนังสือ “อัล-กาชิฟ” เล่มที่ 2 หน้า 175 และคำกล่าวของท่านอิบนุหะญัรฺเองในหนังสือ “ตะฮ์ซีบุตตะฮ์ซีบ” เล่มที่ 6 หน้า 301 ...
2. ข้อความจากรายงานของท่านอับดุลอะซีซ บินรุฟัยอฺที่ว่า .. “ท่านอุบัยย์ นำประชาชนนมาซ 20 ร็อกอะฮ์” ขัดแย้งกับรายงานที่ถูกต้องของท่านยะห์ยา บินสะอีด อัล-ก็อฏฏอนที่ระบุว่า “ท่านอุบัยย์นำประชาชนนมาซ 11 ร็อกอะฮ์” ...
ท่านอิบนุอบีย์ชัยบะฮ์ ได้บันทึกรายงานจากท่านยะห์ยา บินสะอีด อัล-ก็อฏฏอน, จากท่านมุหัมมัด บินยูซุฟ, จากท่านอัซ-ซาอิบ บินยะซีด .ฎ. ว่า ...
إِنَّ عُمَرَ جَمَعَ النَّاسَ عَلَى أُبَىٍّ وَتَمِيْمٍ فَكَانَا يُصَلِّيَانِ إِحْدَى عَشْرَةَ رَكْعَةً
“แท้จริง ท่านอุมัรฺได้รวบรวมประชาชนให้นมาซตามท่านอุบัยย์ บินกะอฺบ์และท่านตะมีม อัด-ดารีย์ โดยทั้ง 2 ท่านนั้น(นำประชาชน)นมาซ 11 ร็อกอะฮ์”
(บันทึกโดย ท่านอิบนุอบีย์ชัยบะฮ์ในหนังสือ “อัล-มุศ็อนนัฟ” เล่มที่ 2 หน้า 284) ...
สายรายงานนี้ เป็นสายรายงานที่ถูกต้อง (เศาะเหี๊ยะห์) ...
หลักฐานบทนี้จึงหักล้างคำกล่าวของท่านอิบนุตัยมียะฮ์ในหนังสือ “มัจญมูอุ้ลฟะตาวีย์” เล่มที่ 23 หน้า 112 ซึ่งท่านเช็คมุนัจญิดนำมาอ้างในตอนหลังที่ว่า ...
"وَثَبَتَ أَنَّ أُبَىَّ بْنَ كَعْبٍ كَانَ يَقُوْمُ بِالنَّاسِ عِشْرِيْنَ رَكْعَةً فِىْ قِيَامِ رَمَضَانَ وَيُوْتِرُ بِثَلاَثٍ ..................................................."
“เป็นที่แน่นอนว่า ท่านอุบัยย์ บินกะอฺบ์ ได้นำประชาชนนมาซตะรอเวี๊ยะห์ในเดือนรอมะฎอน 20 ร็อกอะฮ์ และทำวิตรี่อีก 3 ร็อกอะฮ์ .......................................”
สรุปแล้ว รายงานทั้งหมดที่ท่านเช็คมุนัจญิดนำมาอ้างเป็นหลักฐานว่า การนมาซตะรอเวี๊ยะห์ 20 ร็อกอะฮ์เป็นคำสั่งของท่านอุมัรฺ อิบนุ้ลค็อฏฏอบ ร.ฎ. จึงไม่มีบทใดถือว่าถูกต้อง(เศาะเหี๊ยะฮ์) ตามหลักวิชาการแม้แต่บทเดียว ...
ด้วยเหตุนี้ ท่านอัซ-ซุบกีย์จึงได้กล่าวไว้ในหนังสือ “ชัรฺหุ มินฮาจญ์” ว่า ...
وَرَأَيْتُ فِىْ كِتَابِ سَعِيْدِ بْنِ مَنْصُوْرٍ آثَارًا فِىْ صَلاَةِ عِشْرِيْنَ رَكْعَةً، وَسِتٍّ وَثَلاَثِيْنَ رَكْعَةً، لَكِنَّهَا بَعْدَ زَمَانِ عُمَرَ بْنِ الخْطَاَّب ِ...
“ฉันได้เห็นร่องรอย(คือรายงาน)ต่างๆมากมาย ในตำราของท่านสะอีด บินมันศูรฺ เรื่อง(การนมาซตะรอเวี๊ยะห์) 20 ร็อกอะฮ์ และ 36 ร็อกอะฮ์, แต่ทว่า ร่องรอยเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ เกิดขึ้นหลังจากยุคของท่านอุมัรฺ อิบนุ้ลค็อฏฏอบ ร.ฎ.แล้ว” ...
(จากหนังสือ “อัล-มะศอเบี๊ยะห์ ฟีศ่อลาติตตะรอเวี๊ยะห์” ของท่านอัส-สะยูฏีย์ เล่มที่ 1 หน้า 543) ...
นอกจากนั้น ท่านอิบนุอบีย์อัด-ดุนยา ได้บันทึกไว้เช่นกันในหนังสือ “ฟะฎีละตุ ชะฮ์ริรอมะฎอน” โดยสืบสายรายงานถึงท่านอะฏออ์ บินอบีย์รอบาห์ (หะดีษที่ 49), .. และท่านยูนุส บินอุบัยด์ บินดีนารฺ (หะดีษที่ 50) ว่า ท่านทั้งสองเคยเห็นเศาะหาบะฮ์ (และตาบิอีน) นมาซ(ตะรอเวี๊ยะห์) กันในเดือนรอมะฎอน 20 ร็อกอะฮ์ ...
ท่านอะฏออ์ บินอบีย์รอบาห์เป็นตาบิอีนรุ่นกลางๆ, ส่วนท่านยูนุส บินอุบัยด์เป็นตาบิอีนรุ่นเยาว์ ซึ่งทั้ง 2 ท่านเกิดหลังจากการสิ้นชีวิตของท่านอุมัรฺแล้ว ...
ดังนั้น ที่ทั้งสองท่านอ้างว่า เคยเห็นเศาะหาบะฮ์และตาบิอีน(บางกลุ่ม)ทำนมาซตะรอเวี๊ยะห์ 20 ร็อกอะฮ์ จึงต้องเป็นเหตุการณ์หลังจากยุคของท่านคอลีฟะฮ์อุมัรฺ อิบนุ้ลค็อฏฏอบ ร.ฎ.อย่างแน่นอน ...
ยิ่งไปกว่านั้น ท่านฮุชัยม์ บินบะชีรฺ ผู้รายงานเรื่องนี้มาจากท่านอับดุลมะลิก, จากท่านอะฏออ์ในรายงานแรก, และจากท่านยูนุส บินอุบัยด์ในรายงานที่สอง ก็มีประวัติเป็น مُدَلِّسٌ .. คือผู้ชอบรายงานหะดีษในลักษณะตัดลีซ(คลุมเครือ, มั่วนิ่ม) .. และท่านฮุชัยม์ได้รายงานทั้ง 2 บทข้างต้นมาในลักษณะตัดลีซด้วย คือไม่ได้พูดว่า أَنْبَأَنِىْ ซึ่งมีความหมายว่า .. “ท่าน(อับดุลมะลิกหรือท่านยูนุส) ได้บอกกับฉันว่า .....”, หรือ أَنْبَأَنَا ซึ่งมีความหมายว่า .. “ท่าน(อับดุลมะลิกหรือท่านยูนุส) ได้บอกกับพวกเราว่า .....” อันแสดงว่า ตนเองได้รับฟังหะดีษนี้มาจากปากของท่านอับดุลมะลิกหรือท่านยูนุส บินอุบัยด์จริงๆ ...
แต่ท่านฮุชัยม์ บินบะชีรฺได้กล่าวอย่างกำกวมในการรายงานทั้งสองข้างต้นว่า أَنْبَأَ ซึ่งมีความหมายว่า “ท่าน(อับดุลมะลิกหรือท่านยูนุส) ได้บอกว่า.....” ซึ่งเป็นถ้อยคำที่คลุมเครือและรับฟังไม่ชัดเจนว่า ตนเองได้รับฟังรายงานนี้จากปากของท่านอับดุลมะลิกและท่านยูนุสด้วยตนเอง, หรือได้รับฟังมาจากผู้อื่นอีกต่อหนึ่ง ?? ...
ผู้ที่มีประวัติเป็น مُدَلِّسٌ และอ้างรายงานหะดีษใดมาในลักษณะอย่างนี้ หะดีษของเขาบทนั้นจะไม่เป็นที่ยอมรับหรืออีกนัยหนึ่งก็คือ เป็นหะดีษเฎาะอีฟ ...
(5). ท่านเช็คมุนัจญิดกล่าวต่อไปว่า ...
وَمَجْمُوْعُ هَذِهِ الرِّوَايَاتِ يَتَبَيَّنُ أَنَّ الْعِشْرِيْنَ رَكْعَةً كَانَتْ هِىَ السُّنَّةَ الْغَالِبَةَ عَلَى التَّرَاوِيْحِ فِىْ زَمَنِ عُمَرَ بْنِ الْخَطَّابِ رَضِىَ اللهُ عَنْهُ، وَمِثْلُ صَلاَةِ التَّرَاوِيْحِ أَمْرٌ مَشْهُوْرٌ يَتَنَاقَلُهُ الْجِيْلُ وَعَامَّةُ النَّاسِ، وَرِوَايَةُ يَزِيْدَ بْنِ رُوْمَانَ وَيَحْيىَ بْنِ سَعِيْدٍ الْقَطاَّنِ يُعْتَبَرُ بِهِمَا وَإِنْ كَانَا لَمْ يُدْرِكَا عُمَرَ، فَلاَ شَكَّ أَنَّهُمَا تَلَقَّيَاهُ عَنْ مَجْمُوْعِ النَّاسِ الَّذِيْنَ أَدْرَكُوْهُمْ، وَذَلِكَ أَمْرٌ لاَ يَحْتَاجُ إِلَى رَجُلٍ يُسْنِدُهُ، فَإِنَّ الْمَدِيْنَةَ كُلَّهَا تُسْنِدُهُ
“บทสรุปของรายงานต่างๆเหล่านี้ชัดเจนว่า แท้จริงจำนวน 20 ร็อกอะฮ์นั้นคือแบบอย่างตามปกติของนมาซตะรอเวี๊ยะห์ในสมัยท่านอุมัรฺ อิบนุ้ลค็อฏฏอบ ร.ฎฺ และเยี่ยงอย่างเรื่องการนมาซตะรอเวี๊ยะห์ก็เป็นสิ่งที่รับรู้กันอย่างแพร่หลายซึ่งได้รับการถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่นและโดยประชาชนทั่วๆไป .. และรายงานของท่านยะซีด บินรูมานและท่านยะห์ยา บินสะอีด อัล-ก็อฏฏอน ก็นำมาพิจารณาร่วมกับรายงานบทอื่นได้ แม้ว่าทั้งคู่จะเกิดไม่ทันท่านอุมัรฺก็ตาม เพราะไม่มีข้อสงสัยเลยว่า ทั้งสองท่านนั้นจะต้องได้รับมันมาจากกลุ่มชนที่ทันพบปะพวกเขา(ประชากรในสมัยท่านอุมัรฺ) สิ่งนี้จึงไม่จำเป็นว่าจะต้องมีบุคคลใดรายงานมันอย่างต่อเนื่องอีก เนื่องจาก(ชาว)เมืองมะดีนะฮ์ทั้งหมดจะรายงานมันต่อเนื่องกันอยู่แล้ว” ...
ชี้แจง
คำพูดข้างต้นนี้ของท่านเช็คมุนัจญิด คือคำพูดจากสามัญสำนึก(common sense), มิใช่คำพูดที่อ้างอิงกฎเกณฑ์ของวิชาการข้อใดทั้งสิ้น ...
เรื่องศาสนา เป็นเรื่องที่จะต้องวิเคราะห์และสรุปหลักฐานตามหลักวิชาการ มิใช่วิเคราะห์และสรุปหลักฐานจากสามัญสำนึกและสติปัญญา แบบว่าถ้าเรื่องใดเป็นเรื่องที่กินกับปัญญา – แม้ตามหลักวิชาการจะถือว่าเป็นหลักฐานอ่อน – ก็ให้รับมาปฏิบัติในฐานะเป็นซุนนะฮ์ได้ .. หรือในมุมกลับกันคือ เรื่องใดไม่กินกับปัญญา แม้หลักฐาน(ตามหลักวิชาการ) จะถือว่าถูกต้อง ก็ไม่ควรรับมาปฏิบัติ ...
ขอสารภาพว่า ผมยังไม่เคยเจอกฎเกณฑ์ลักษณะที่ว่านี้ในตำราเล่มใดมาก่อน ไม่ว่าในตำราฟิกฮ์, ตำราอุศูลุ้ลฟิกฮ์ หรือตำราหะดีษ ...
และถ้าจะถือกันอย่างนี้ ผมยืนยันได้เลยว่า เราก็คงจะต้องปฏิเสธหะดีษที่เศาะเหี๊ยะห์หลายบทด้วยข้ออ้างที่ว่าเพราะมันไม่กินกับปัญญา .. อย่างเช่นหะดีษเศาะเหี๊ยะฮ์ซึ่งบันทึกโดยท่านบุคอรีย์ (หะดีษที่ 5782) ที่ท่านนบีย์สั่งว่า เมื่อมีแมลงวันตกลงไปในภาชนะของพวกท่านคนใดก็จงกดมันให้จมทั้งตัวแล้วจึงเอาทิ้ง เพราะในปีกข้างหนึ่งของมันมีโรคและปีกอีกข้างหนึ่งของมันมียาบำบัดโรค ...
คำพูดของท่านศาสดาที่ว่า “และปีกอีกข้างหนึ่งของมันมียาบำบัดโรค” .. ผมเชื่อว่าหลายคนคงรับไม่ได้ เพราะ “ไม่กินกับปัญญา” ที่ปีกแมลงวันจะมียาบำบัดโรค ...
เพราะฉะนั้น ในกรณีการนมาซตะรอเวี๊ยะห์นี้ เมื่อจะใช้สามัญสำนึกมาตัดสิน – ทั้งๆที่รายงานที่ท่านเช็คมุนัจญิดนำมาอ้างทั้งหมดเป็น “รายงานที่อ่อนด้อย” และขัดแย้งกับรายงานอื่นๆที่ถูกต้องกว่า .. ดังการวิเคราะห์ตามหลักวิชาการที่ผ่านมาแล้ว – ปัญหาที่จะเกิดขึ้นตามมาก็คือ ...
คำสั่งของท่านอุมัรฺ (หน้า 19 จากหนังสือนี้)ที่ใช้ให้นมาซตะรอเวี๊ยะห์ 11 ร็อกอะฮ์ก็ดี, รายงานของท่านอัซ-ซาอิบ บินยะซีด ร.ฎ.(หน้า 20) ที่กล่าวว่า พวกเรานมาซตะรอเวี๊ยะห์กันในสมัยท่านอุมัรฺ 11 ร็อกอะฮ์ก็ดี, หรือรายงานของท่านยะห์ยา บินสะอีด อัล-ก็อฏฏอน(หน้า 36) ที่ว่า ท่านอุบัยย์ บินกะอฺบ์และท่านตะมีม อัด-ดารีย์นำประชาชนนมาซ 11 ร็อกอะฮ์ตามคำสั่งของท่านอุมัรฺก็ดี ..
รายงานทั้งหมดนี้ ล้วนเป็น “รายงานที่เศาะเหี๊ยะห์(ถูกต้อง)”.. และถูกต้องกว่ารายงานที่ท่านเช็คมุนัจญิดอ้างมาทั้งสิ้น ...
ผมจึงอยากจะถามว่า ...
แล้วเราจะเอารายงานที่ถูกต้องเหล่านี้ไปวางไว้ตรงไหน ??? ...
ที่กล่าวมาอย่างนี้ ผมมิได้คัดค้านการนมาซตะรอเวี๊ยะห์เกินกว่า 11 ร็อกอะฮ์ว่าทำไม่ได้ แต่ผมคัดค้านการ “สรุป” ของท่านเช็คมุนัจญิดว่า ไม่ใช่เป็นการสรุปตามหลักวิชาการ .. เท่านั้น ...
(6). หรือในกรณีที่ “สมมุติ” ว่า รายงานเรื่องนมาซตะรอเวี๊ยะห์ 11 ร็อกอะฮ์กับ 23 ร็อกอะฮ์ในสมัยของท่านอุมัรฺไม่ได้ขัดแย้งกันแต่อย่างใด แต่เป็นการปฏิบัติ “ต่างกรรมต่างวาระ” อันเป็นทางออกที่นักวิชาการหลายท่านเสนอแนะไว้ ...
คือ ตอนแรกๆจะมีคำสั่งและมีการปฏิบัติกัน 11 ร็อกอะฮ์จริง แต่ตอนหลังมีการเพิ่มเติมเป็น 23 ร็อกอะฮ์ ดังที่มีการปฏิบัติกันในปัจจุบัน ...
ท่านเช็คมุนัจญิดได้อ้างคำพูดของท่านอิบนุตัยมียะฮ์ ว่า ...
وَأُبَىُّ بْنُ كَعْبٍ لَمَّا أَقَامَ بِهِمْ وَهُمْ جَمَاعَةٌ وَاحِدَةٌ لَمْ يُمْكِنْ أَنْ يُطِيْلَ بِهِمُ الْقِيَامَ، فَكَثَّرُوْاالرَّكَعَاتِ لِيَكُوْنَ ذَلِكَ عِوَضًا عَنْ طُوْلِ الْقِيَامِ، وَجَعَلُوْا ذَلِكَ ضِعْفَ عَدَدِ رَكَعَاتِهِ، فَإِنَّهُ كَانَ يَقُوْمُ بِاللَّيْلِ إِحْدَى عَشْرَةَ رَكْعَةً أَوْ ثَلاَثَ عَشْرَةَ رَكْعَةً، ثُمَّ بَعْدَ ذَلِكَ كَانَ النَّاسُ بِالْمَدِيْنَةِ ضَعُفُوْا عَنْ طُوْلِ الْقِيَامِ، فَكَثَّرُوْاالرَّكَعَاتِ، حَتىَّ بَلَغَتْ تِسْعًا وَثَلاَثِيْنَ ...
“และท่านอุบัยย์ บินกะอฺบ์นั้น เมื่อท่านนำพวกเขานมาซโดยที่พวกเขาเป็นญะมาอะฮ์เดียวกัน ท่านก็ไม่อาจจะนำพวกเขายืนนมาซนานๆได้ พวกเขาจึงเพิ่มจำนวนร็อกอะฮ์ให้มากขึ้นเพื่อเป็นการทดแทนจาการยืนนานๆ, และพวกเขาก็ถือเอาเรื่องนี้มาเพิ่มเป็นเท่าตัวจากจำนวนร็อกอะฮ์(เดิม)ของมัน เนื่องจากท่านอุบัยย์เคยยืนนมาซยามค่ำคืนเพียง 11 ร็อกอะฮ์หรือ 13 ร็อกอะฮ์ หลังจากนั้น(คือหลังจากเคยเพิ่มจาก 11 ร็อกอะฮ์เป็น 23 ร็อกอะฮ์แล้ว) ชาวเมืองมะดีนะฮ์ก็รู้สึกอ่อนล้าจากการยืนนมาซนานๆ พวกเขาจึงเพิ่มร็อกอะฮ์ให้มากขึ้นอีกจนถึง 36 ร็อกอะฮ์” ...
(จากหนังสือ “มัจญมูอุ้ลฟะตาวีย์” เล่มที่ 23 หน้า 113) ...
และท่านเช็คมุนัจญิดยังได้อ้างคำพูดของท่านอิบนุอับดิลบัรฺที่คล้ายๆกันนี้จากหนังสือ “อัล-อิสติซการฺ” เล่มที่ 2 หน้า 69 ประกอบด้วย) ...
ชี้แจง
จากคำอธิบายของท่านอิบนุตัยมียะฮ์ข้างต้น ผมขอชี้แจงใน 4 ประเด็นดังต่อไปนี้
1. คำอธิบายนื้ เป็นการ “รวม” .. คือหาทางออกให้กับหะดีษ 2 บทหรือหลายบทที่ดูตามรูปการณ์ภายนอกว่าขัดแย้งกัน เพื่อให้มีช่องทางนำหะดีษเหล่านั้นมาปฏิบัติได้ทั้งหมดโดยไม่ต้องละทิ้งบทใดบทหนึ่ง .. ตามกฎเกณฑ์ที่ว่า ...
اَلْجَمْعُ مُقَدَّمٌ عَلَى التَّرْجِيْحِ
“การรวม(หลักฐาน) ต้องมาก่อนการเน้นน้ำหนัก (โดยรับหลักฐานบทใดบทหนึ่งมาปฏิบัติและละทิ้งหลักฐานบทอื่นที่ขัดแย้งกับบทนั้น)” ...
ผมขอเรียนว่า กฎเกณฑ์ข้อนี้ ตามหลักการจะถูกนำมาใช้ก็เฉพาะในกรณีถ้าหลักฐานที่ขัดแย้งกันนั้น “มีความถูกต้อง(เศาะเหี๊ยะห์)เท่าเทียมกัน” เท่านั้น ...
แต่ถ้าความขัดแย้งนั้นเป็นการขัดแย้งระหว่างหลักฐานที่ถูกต้องกับหลักฐานที่เฎาะอีฟ – ดังในกรณีจำนวนร็อกอะฮ์ของนมาซตะรอเวี๊ยะห์นี้ – นักวิชาการก็จะไม่นำเอากฎเกณฑ์ข้อนี้มาใช้ แต่จะรับเอาหลักฐานที่ถูกต้องมาปฏิบัติและปัดหลักฐานที่เฎาะอีฟทิ้งไป ...
2. สมมุติว่าถ้าคำอธิบายข้างต้นนี้ถูกต้องต่อความเป็นจริง ก็แสดงว่า การนมาซตะรอเวี๊ยะห์ 23 ร็อกอะฮ์ เป็นสิ่งที่ “เพิ่งบังเกิดขึ้นมา” ช่วงหลังๆในสมัยของท่านอุมัรฺ อิบนุ้ลค็อฏฏอบ ร.ฎ.นี่เอง .. มิใช่เป็นการกระทำของท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ดังข้ออ้างของกองทุนติญารียะฮ์ กลุ่มครูฟัรฺฎูอีน อย่างแน่นอน ...
3. คำอธิบายข้างต้นนี้ (สมมุตินะครับ, สมมุติว่าถ้าเป็นเรื่องจริง) ก็แสดงว่า การเพิ่มจำนวนร็อกอะฮ์จาก 11 เป็น 23 ของท่านอุมัรฺ มิใช่เป็นการเพิ่มตามอำเภอใจหรือเพราะพิ้นฐานการนมาซตะรอเวี๊ยะห์จะทำกี่ร็อกอะฮ์ก็ได้ แต่มี “สาเหตุ” มาจากการ “ยืนนาน-อ่านยาว” ของอิหม่าม -- คือท่านอุบัยย์ บินกะอฺบ์ -- ในแต่ละร็อกอะฮ์ของนมาซ 11 ร็อกอะฮ์ในตอนแรกๆซึ่งทำให้ประชาชนอ่อนล้าและรับไม่ไหว ...
จากสาเหตุดังกล่าวนี้ ท่านอุมัรฺจึงได้แก้ไขด้วยการลดการอ่านซูเราะฮ์ในแต่ละร็อกอะฮ์ให้สั้นลงเพื่อไม่ให้ต้องยืนนาน แล้วทดแทนด้วยการเพิ่มจำนวนร็อกอะฮ์ให้มากขึ้น ทำให้มีการให้สล่ามมากครั้งขึ้น ประชาชนจึงมีเวลาพักมากขึ้นในระหว่างการให้ สล่ามแต่ละครั้ง ...
4. ถ้าข้อเท็จจริงเป็นดังที่ว่ามานี้ ผมก็ขอยืนยันว่า เรื่องการ “ยืนนาน-อ่านยาว” ของอิหม่ามสมัยก่อนที่ประชาชนรับไม่ไหวจนทำให้ท่านอุมัรฺต้องมีการเปลี่ยนแปลงนั้น
ปัจจุบันนี้ .. เหตุผลข้อนี้ ไม่มีแล้ว ...
เพราะคงไม่มีผู้ใดปฏิเสธว่า การนมาซตะรอเวี๊ยะห์ที่ชาวไทยมุสลิมปฏิบัติกันอยู่ในเดือนรอมะฎอนแทบทุกมัสญิดในปัจจุบันนี้ แต่ละคืนจะใช้เวลาไม่เกินหนึ่งชั่วโมงครึ่งหรือสองชั่วโมง เป็นอย่างสูง ...
แถมเผลอๆอาจจะเพียงครึ่งชั่วโมงก็ยังมี ...
และระยะเวลาที่ว่านี้ ก็ทำเหมือนๆกันทั้งนั้น, ไม่ว่าคณะเก่าที่ทำ 23 ร็อกอะฮ์ หรือคณะใหม่ที่ทำ 11 ร็อกอะฮ์ ...
ผมไม่เคยได้รับข่าวคราวเลยว่า มีมัสญิดใดในประเทศไทยที่อิหม่ามจะนำประชาชนนมาซตะรอเวี๊ยะห์ครั้งละ 8-9 ชั่วโมงจนเกือบถึงเวลานมาซซุบห์ดังสมัยแรกๆ
เพราะฉะนั้น เมื่อ “เหตุผล” ที่ทำให้จำเป็นต้องเพิ่มจำนวนร็อกอะฮ์ให้มากขึ้นเพื่อทดแทนการยืนนมาซในแต่ละร็อกอะฮ์นานๆ ดังยุคแรกๆหมดไป ที่ถูกต้องจึงต้องหันกลับไปยึดถือและปฏิบัติตาม “หลักการเดิม” ของท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม และคำสั่งเดิมของท่านอุมัรฺ อิบนุ้ลค็อฏฏอบ ร.ฎ. ...
นั่นคือ การทำนมาซตะรอเวี๊ยะห์ 11 ร็อกอะฮ์ ...
กรณีนี้ จึงไม่แตกต่างอันใดกับกรณีของการหย่าภรรยา -- รวดเดียว – 3 ครั้ง ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงหุก่มขึ้นใหม่ในสมัยของท่านอุมัรฺ อิบนุ้ลค็อฏฏอบ ร.ฎ. เช่นเดียวกัน ...
ก่อนอื่นขอเรียนให้ทราบว่า การหย่าภรรยารวดเดียว 3 ครั้งนี้ เศาะหาบะฮ์ส่วนใหญ่เห็นพ้องกันว่าเป็นเรื่องหะรอม (เพราะถือว่าเป็นการทำเล่นกับอัล-กุรฺอ่าน) ...
(สรุปจากหนังสือ “อัล-มุฆนีย์” ของท่านอิบนุกุดามะฮ์ เล่มที่ 8 หน้า 241-242)
มีหะดีษที่ถูกต้องจากการบันทึกของท่านมุสลิมรายงานมาว่า การหย่าภรรยารวดเดียว 3 ครั้งในสมัยท่านศาสดา, ในสมัยการเป็นคอลีฟะฮ์ของท่านอบูบักรฺ, หรือแม้แต่ใน 2 ปีแรกแห่งการเป็นคอลีฟะฮ์ของท่านอุมัรฺเองก็ดี ...
ถือว่าการหย่าลักษณะดังกล่าว มีผลบังคับเพียง 1 ครั้ง หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่าตก 1 ฏอล้าก...
ต่อมา เมื่อการหย่าร้างในลักษณะนี้ (ซึ่งเป็นเรื่องหะรอมตามทัศนะที่สอดคล้องกันของเศาะหาบะฮ์) แพร่หลายมากขึ้นในยุคของท่านอุมัรฺ ท่านจึงต้องหาทางยับยั้งพฤติการณ์ที่ไม่ถูกต้องนี้ ด้วยการตัดสินว่าการหย่ารวดเดียว 3 ครั้งถือว่าตกสาม ทั้งนี้เพื่อเป็นการ “ลงโทษ” สามีที่เจตนาฝ่าฝืนหลักการศาสนาในเรื่องการหย่าร้าง ..โดยที่ก่อนหน้านั้นท่านก็เคยใช้มาตรการลงโทษผู้ที่หย่าภรรยารวดเดียว 3 ครั้งโดยการโบยหลังมาแล้ว ...
ยอมรับว่า –ในทัศนะส่วนตัว -- ผมเห็นด้วยกับวิธีการของท่านอุมัรฺ ...
การเปลี่ยนหุก่มจากหย่าสามตกหนึ่งมาเป็นหย่าสามตกสามของท่านอุมัรฺ จึงมิใช่เป็นการเปลี่ยนเพื่อสนองความต้องการของประชาชน ดังที่บางคนเข้าใจ ...
แต่เป็นการเปลี่ยนโดยมี “เหตุผล” เพื่อ “ลงโทษ” สามีที่เจตนาทำเล่นกับอัล-กุรฺอ่านทั้งๆที่รู้ ...
เพราะฉะนั้น ถ้าเหตุผลข้อนี้ไม่มีหรือหมดสิ้นไป หุก่มหย่าสาม-ตกสามของท่านอุมัรฺ ก็ควรจะยกเลิกและไม่เหมาะที่จะนำมาใช้อีก เพราะหุก่มดังกล่าวเป็นเพียง “หุก่มเฉพาะกิจ”จากการวินิจฉัยของท่าน, มิใช่หุก่มดั้งเดิมที่เป็นซุนนะฮ์ ...
แล้วหลังจากนั้น ก็จะต้องหวนกลับไปใช้หุก่มดั้งเดิมอันเป็นซุนนะฮ์ของท่าน นบีย์, ท่านอบูบักรฺ และท่านอุมัรฺเองที่เคยปฏิบัติไว้ก่อนหน้าการเปลี่ยนหุก่ม ...
นั่นคือ หย่าสามรวดเดียว ถือว่า ตกหนึ่ง ...
ทั้งนี้ เพราะเหตุผลการเปลี่ยนหุก่มของท่านอุมัรฺ – คือ การลงโทษผู้เจตนาทำเล่นกับอัล-กุรฺอ่าน -- นั้น ปัจจุบันนี้ไม่มีแล้ว ...
ไม่เชื่อลองถามชาวบ้านดูซิครับว่า ผู้ที่หย่าภรรยารวดเดียว 3 ครั้งในปัจจุบันนี้ มีผู้ใดรู้บ้างว่า การที่เขาหย่าภรรยารวดเดียว 3 ครั้งเป็นเรื่องหะรอม .. และเป็นการทำเล่นกับอัล-กุรฺอ่าน ?? ...
ผมฟันธงได้เลยว่า คำตอบก็คือ ไม่รู้! แต่เป็นการหย่าตาม “ค่านิยม” คือได้ยินคนอื่นเขาหย่ากันอย่างนั้นก็เลยพูดตามเขาบ้าง ...
อย่าว่าแต่ชาวบ้านธรรมดาเลยที่ไม่รู้ แม้แต่ “ผู้รู้” บางท่านผมก็เชื่อว่า ยังไม่รู้เลยว่าการหย่าภรรยารวดเดียว 3 ครั้งเป็นเรื่องหะรอม และเป็นการทำเล่นกับอัล-กุรฺอ่าน ...
เพราะฉะนั้น เมื่อประชาชนที่ “ไกลปืนเที่ยง” ในปัจจุบันทำไปโดยไม่รู้ หรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ แล้วเราจะนำเอาบทลงโทษ “เฉพาะกิจ” ของท่านอุมัรฺ มา “ลงโทษ” เขา เหมือนที่ท่านอุมัรฺเคยลงโทษประชาชนในสมัยของท่านซึ่งเป็นยุคที่ยัง “ใกล้ชิดกับอัล-วะห์ยุ” ได้อย่างไร ??? ...
(ผู้ใดอยากทราบหลักฐานและรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ก็ให้อ่านดูได้จากหนังสือ “หย่าสาม ตกเท่าไร?” ของผม ซึ่งนำออกเผยแพร่ไปเกือบสองปีแล้ว) ...
สรุปแล้ว เรื่องจำนวนนมาซตะรอเวี๊ยะห์ก็ดี, การหุก่มต่อผู้ที่หย่าภรรยารวดเดียว 3 ครั้งก็ดี จึงสมควรกลับไปปฏิบัติตามแบบอย่างดั้งเดิมของท่านนบีย์และท่านอุมัรฺเอง ..
นั่นคือ นมาซตะรอเวี๊ยะห์ ควรทำเพียง 11 ร็อกอะฮ์, .. และผู้ที่หย่าภรรยารวดเดียว 3 ครั้ง ถือว่ามีผลเพียง 1 ครั้ง ...
อาจมีบางคนท้วงติงว่า ผู้ที่นมาซตะรอเวี๊ยะห์ 11 ร็อกอะฮ์ในปัจจุบันก็ยังปฏิบัติไม่ถูกต้องตามซุนนะฮ์ เพราะตามซุนนะฮ์จะต้อง “ยืนนาน-อ่านยาว” จนเกือบถึงรุ่งเช้า ดังที่มีการปฏิบัติกันในสมัยท่านนบีย์และสมัยท่านอุมัรฺ อิบนุ้ลค็อฏฏอบ ร.ฎ. ...
แต่ผู้ที่อ้างว่าเป็นชาวซุนนะฮ์ในสมัยนี้แทบทุกแห่ง อ่านกันเพียงซูเราะฮ์สั้นๆ และบางแห่งก็นมาซกันเพียงครึ่งชั่วโมงก็มี ...
ผมก็ขอเรียนชี้แจงว่า “การปฏิบัติตามซุนนะฮ์” นั้น ท่านนบีย์เคยสั่งเอาไว้ว่า ...
إِذَا أَمَرْتُكُمْ بِشَيْئٍ فَأْتُوْا مِنْهُ مَا اسْتَطَعْتُمْ
“เมื่อฉันใช้พวกท่านทำสิ่งใด พวกท่านก็จงทำ(ส่วนใดของ) มัน เท่าที่พวกท่านสามารถ” ...
(บันทึกโดย ท่านบุคอรีย์ หะดีษที่ 7288, ท่านมุสลิม หะดีษที่ 412/1337 )
ความหมายของคำว่า فَأْتُوْا مِنْهُ ไม่ได้หมายถึงให้ทำมันทั้งหมดเท่าที่สามารถ แต่ท่านนบีย์หมายถึงให้ทำ “ส่วนใดของมัน” ก็ได้ เท่าที่สามารถ ...
ถ้าสามารถทำได้เพียงบางส่วน ก็ให้ทำเพียงบางส่วน แต่ถ้าสามารถทำได้ทั้งหมด ก็จะเป็นการดี ...
ที่ไม่ดีก็คือ ไม่ทำตามซุนนะฮ์เลย! ไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมด .. ทั้งๆที่บางครั้งมีความสามารถที่จะทำได้ในระดับใดระดับหนึ่ง ...
เพราะฉะนั้น เมื่อผู้เป็นอิหม่ามไม่สามารถนำอ่านซูเราะฮ์ยาวๆได้เพราะไม่ค่อยจำอัล-กุรฺอ่านสักเท่าไร – แม้กระทั่งสมมุติว่าเขาจำ “ซูเราะฮ์อาชีพ” .. คือ กุลฮุวัลลอฮ์ได้เพียงบทเดียว -- แล้วเขาก็อ่านมันเท่าที่เขาจำ ถือว่าเขาปฏิบัติตามซุนนะฮ์แล้ว ดังนัยของหะดีษบทข้างต้น ...
และถ้าเราใช้ความสังเกตสักนิดก็จะเห็นได้ว่า การที่ท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ออกมานำเศาะหาบะฮ์นมาซตะรอเวี๊ยะห์เพียง 3 คืน คือ คืนแรกถึง 4 ทุ่ม, คืนที่สองถึงเที่ยงคืน, และคืนที่สามจนถึงเกือบรุ่งเช้า ย่อมบ่งบอกเป็นนัยให้รู้ว่า “เวลา” ในการนมาซตะรอเวี๊ยะห์นั้น ท่านศาสดาเปิดโอกาสให้อุมมะฮ์ของท่าน “เลือก” ปฏิบัติได้ตามความสามารถ คือจะสั้น, จะปานกลาง หรือจะยาว ก็ได้ทั้งสิ้น ...
แต่ ..ในเรื่อง “จำนวนร็อกอะฮ์” ของนมาซตะรอเวี๊ยะห์นั้นขอยืนยันว่า ไม่ปรากฏมีรายงานที่ถูกต้องใดๆว่า ท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมจะเคย “เลือก” หรือ “ให้เลือก” ทำนมาซตะรอเวี๊ยะห์ “เกิน” กว่า 11 ร็อกอะฮ์ (หรือ 13 ร็อกอะฮ์) เลย
ตรงกันข้าม มีหลักฐานที่ถูกต้องรายงานมาว่า เมื่อท่านอายุมากขึ้น บางครั้งท่านจะ “เลือก” นมาซ “ลดลง” จาก 11 ร็อกอะฮ์ เหลือเพียง 9 ร็อกอะฮ์บ้าง, 7 ร็อกอะฮ์บ้างด้วยซ้ำไป ...
สรุปแล้ว --ไม่ว่าจะมองในแง่มุมไหน – การนมาซตะรอเวี๊ยะห์ 11 ร็อกอะฮ์ ย่อม ดีกว่าการนมาซ 23 ร็อกอะฮ์แน่นอน ...
เพราะ 11 ร็อกอะฮ์ คือ “ซุนนะฮ์” ของการนมาซตะรอเวี๊ยะห์ในเดือนรอมะฎอน และนมาซยามค่ำคืนในทุกๆเดือนของท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ดังรายงานที่ถูกต้องของท่านหญิงอาอิชะฮ์ ร.ฎ. ...
วัลลอฮุ อะอฺลัม
อ.มะห์มูด (ปราโมทย์) ศรีอุทัย
โทรฯ 086-6859660
วันจันทร์ ที่ 6 กรกฎาคม 2552 : 13 เดือนรอญับ ฮ.ศ. 1430
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น